คงปฏิเสธไม่ได้ว่า
โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 ที่มีการติดเชื้อไปทั่วโลกรวมกว่า 116 ประเทศ
สร้างความเสียหายแก่เศรษฐกิจในวงกว้างไปทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างแรงอยู่ในอาการ
"โคมา" ทำให้ผู้ประกอบการโรงแรมเกือบทุกแห่งต้องตัดลดค่าใช้จ่ายลง
ทั้งให้ลาพักร้อนโดยไม่รับเงินเดือน ลดวัน เวลา ทำงาน ลดอาหาร
ไปจนถึงเลิกจ้างปิดกิจการ
เมื่อสถานการณ์คลอนแคลนเช่นนี้ หากปล่อยไว้ไม่เพียงที่จะทำให้ผู้ประกอบการต้องล้ม หาย ตาย จากไปเท่านั้น แต่จะกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจอย่างรุนแรงจนอาจจะกู่ไม่กลับ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ร้อนถึงกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ในฐานะที่กำกับดูแลอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
จึงเสนอมาตรการเร่งรัดให้ทุกส่วนราชการจัดประชุมและสัมมนาภายในประเทศ 3 เดือน (เมษายน ถึง มิถุนายน 2563) เพื่อพยุงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยการขอความร่วมมือให้ทุกส่วนราชการ
เร่งการใช้จ่ายงบประมาณปี 2563 เพื่อจัดประชุมและสัมมนาภายในประเทศ
และส่งปฏิทินการจัดประชุมและสัมมนาดังกล่าว ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
เพื่อนำไปขยายผลร่วมกับภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (COVID-19) ต่อไป
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)
ไฟเขียวทันที มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯเสนอ ตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม 2563
โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประเมินว่า
หากมีการดำเนินมาตรการเร่งรัดให้ทุกส่วนราชการจัดประชุมและสัมมนาภายในประเทศในช่วง
3 เดือนนี้ จะช่วยพยุงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
ซึ่งจะส่งผลกระทบให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวชะลอการเลิกจ้างงาน
รวมทั้งจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อจิตวิทยาในการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ
ทั้งประชาชนคนไทย และชาวต่างชาติทั่วโลก
และเกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศไทยไปในทิศทางที่ดีขึ้น
โดยนายคณนาถ หมื่นหนู
โฆษกกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
คาดว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะสูญเสียรายได้กว่า 9,156 ล้านบาท โดยภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบสูงสุด คือ
1. จำหน่ายสินค้า/ของที่ระลึก
2. โรงแรม
3. ร้านอาหาร/เครื่องดื่ม
ด้านนายยุทธศักดิ์ สุภสร
ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ประเมินว่า
กรณีที่เลวร้ายที่สุดอาจอยู่ที่ประมาณ 3
เดือน หรือลากยาวถึงเดือนเมษายน 2563
ซึ่งอาจจะสูญเสียนักท่องเที่ยวจีนประมาณ 70-80%
คิดเป็นมูลค่าความเสียหายสูงถึง 90,000 ล้านบาท
จากเดิมที่ตั้งเป้าจะมีนักท่องเที่ยวทั้งหมดเข้ามากว่า 40.8
ล้านคน จะมีรายได้ 2.02 ล้านล้านบาท
ขณะที่ข้อมูลของสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต
และ Economic Intelligence Centre (EIC) ประเมินสถานการณ์ไว้
3 กรณี ดังนี้
กรณีที่ 1 ระยะเวลา 3 เดือน : นักท่องเที่ยวปี 2563 เหลือ 38 ล้านคน หดตัว -4.6% (เทียบกับปีก่อนหน้า) แต่ถ้านักท่องเที่ยวจีนลดลง 50%
จะสูญเสียรายได้ราว 7.43 พันล้านบาท, นักท่องเที่ยวจีนลดลง
70% จะสูญเสียรายได้ราว 1.04
หมื่นล้านบาท และหากนักท่องเที่ยวจีนลดลง 90%
จะสูญเสียรายได้ 1.34 หมื่นล้านบาท
กรณีที่ 2
ระยะเวลา 4 เดือน : จำนวนนักท่องเที่ยวปี 2563 จะเหลือ 38.8 ล้านคน คิดเป็นการหดตัว -2.5%
(เทียบกับปีก่อนหน้า) โดยคาดว่านักท่องเที่ยวจะกลับมาเท่าปี 2562 ก็ประมาณช่วงเดือนมิถุนายน 2563
กรณีที่ 3
ระยะเวลา 6 เดือน : จำนวนนักท่องเที่ยวปี 2563 จะเหลือเพียง 36.6 ล้านคน คิดเป็นการหดตัวมากถึง -8.1%
(เทียบกับปีก่อนหน้า)
และเมื่อเกิดสถานการณ์ โรคติดเชื้อไวรัสระบาดหนัก เป็นโจทย์ใหญ่ที่ ททท. ต้องคิดและงัดกลยุทธ์ทุกท่วงท่า เพื่อประคับประคองอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้กลับมาพื้นตัว แต่นั่นย่อมต้องภายหลังจากที่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสทั่วโลกยุติลงหรือควบคุมได้อย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม แม้ปีนี้อาจเป็นฝันร้ายของธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรม ไม่เฉพาะไทยแต่เป็นทั่วโลก แต่ก็เป็นโอกาสที่ธุรกิจมีเวลาในการปรับปรุงสถานที่ พัฒนาบุคลากร รวมทั้งการบริการต่างๆ เพื่อรอเวลาที่ทุกอย่างคลี่คลาย นักท่องเที่ยวกลับมาอีกครั้ง คุณจะพร้อมก่อนใคร