ณ ช่วงเวลานี้
ชีวิตประชาชนคนไทยขึ้นอยู่กับการบริหารประเทศของภาครัฐบาล กับมาตรการต่างๆ
ที่ต้องงัดออกมาสู้รบกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มาตรการล่าสุดคือ “การปิดเมือง พักงาน ปิดห้างร้าน
กิจการ สถานบันเทิง ฯลฯ แบบต่อเนื่องยาวนานไปจนถึง 12 เมษายน
2563 โดยขอความร่วมมือให้ประชาชนกักตัวเองอยู่บ้าน
เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดหรือออกมารับเชื้อโรค
เพิ่มจำนวนคนที่เป็นโรคติดต่อเพิ่มเติม
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร ร่วมแถลงมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 2 หลังจากปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสขยายวงกว้างขึ้น จนเป็นที่มาของการประกาศปิดสถานบริการ รวมไปถึงสถานที่หลายแห่ง อันจะส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ประกอบการ ลูกจ้างแรงงาน และประชาชนคนทั่วไป รัฐบาลได้คลอดมาตรการเยียวยาในเบื้องต้นนอกเหนือจากเงินช่วยเหลือ ฝั่งภาคแรงงานที่จะได้รับ 5,000 บาทติดต่อกันนาน 3 เดือน ตั้งแต่เดือนเมษายน-มิถุนายน และในส่วนของผู้ประกอบการกับมาตรการการช่วยเหลืออีก 7 มาตรการด้วยกัน
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
นอกจากนี้ยังมีมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอีก
7 แนวทางเพิ่มเติม ดังนี้
1. โครงการสินเชื่อฉุกเฉิน ไม่เกิน 10,000 บาท : เพิ่มสภาพคล่องชั่วคราวในการดำรงชีวิตแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากไวรัส COVID-19 โดยไม่จำเป็นต้องมีหลักประกัน
โดยธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
สนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 40,000 ล้านบาท (ธนาคารออมสิน 20,000 ล้านบาท และ ธ.ก.ส. 20,000 ล้านบาท)
วงเงินต่อรายไม่เกิน 10,000 บาท
คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ไม่เกินร้อยละ 0.10 ต่อเดือน ระยะเวลากู้ไม่เกิน 2 ปี 6
เดือน ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือนรับคำขอสินเชื่อถึงวันที่ 30 ธันวาคม
2563
2. โครงการสินเชื่อพิเศษเพิ่มเติมไม่เกิน
50,000 บาท : เป็นโครงการปล่อยสินเชื่อเพื่อใช้ในการดำรงชีวิตแก่ประชาชนที่มีรายได้ประจำ
แบบมีหลักประกัน โดยธนาคารออมสินสนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 20,000 ล้านบาท
วงเงินต่อรายไม่เกิน 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ไม่เกินร้อยละ 0.35 ต่อเดือน
ระยะเวลากู้ไม่เกิน 3 ปี รับคำขอสินเชื่อถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2563
3. โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับสำนักงานธนานุเคราะห์เพื่อช่วยเหลือประชาชนฐานราก
:
เป็นการช่วยเหลือประชาชนฐานรากที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของไวรัส
COVID-19 โดยธนาคารออมสินสนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ำวงเงินรวม
2,000 ล้านบาท
ให้แก่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในนามของสำนักงานธนานุเคราะห์
(สธค.) โดยคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 0.10 ต่อปี และ สธค.
คิดดอกเบี้ยจากประชาชนในอัตราไม่เกินร้อยละ 0.125 ต่อเดือน ระยะเวลา 2 ปี
4. มาตรการเสริมความรู้
พิจารณาดำเนินการจัดฝึกอบรมเพื่อเพิ่มทักษะเสริมอาชีพ : ออกมาเพื่อช่วยเหลือผู้ว่างงานให้มีรายได้และแนวทางประกอบอาชีพสำหรับผู้ว่างงานในช่วงนี้
โดยธนาคารของรัฐ ออมสิน ธกส. และกระทรวง อว.
ได้เปิดฝึกอบรมอาชีพเพิ่มเติมความรู้แบบมีเบี้ยเลี้ยง
ผู้เข้าอบรมจะได้รับเบี้ยเลี้ยงวันละ 300 บาท ในระหว่างการอบรมตามอาชีพที่สนใจ
หากอบรม 7 วันก็จะได้รับเงินเบี้ยเลี้ยง 2,100 บาท
5. มาตรการเลื่อนเวลาการชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
: จากเดิมสิ้นสุดการยื่นภาษีในวันที่
30 มิถุนายน 63 ขยายเป็นสิ้นสุดวันที่ 31
สิงหาคม 63
เพื่อบรรเทาภาระให้แก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น
6. มาตรการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าตอบแทนในการเสี่ยงภัยของบุคลากร
ทางการแพทย์และสาธารณสุข : เป็นการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับ
(1) ค่าตอบแทนเสี่ยงภัยในการเฝ้าระวัง สอบสวน ป้องกัน ควบคุม
และรักษาผู้ป่วยจากไวรัส COVID-19
(2) ค่าตอบแทนบุคคลที่มิใช่ข้าราชการหรือข้าราชการ
ที่มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ในการให้คำปรึกษาด้านการแพทย์และสาธารณสุข
เพื่อรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ที่ได้รับแต่งตั้งจากกระทรวงสาธารณสุข
ซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับในปีภาษี 2563 เพื่อสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัส
COVID-19 ไม่มีภาระภาษีสำหรับค่าตอบแทนพิเศษจากการปฏิบัติงานดังกล่าวและมีขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานเพิ่มขึ้น
7. มาตรการเพิ่มวงเงินหักลดหย่อนค่าเบี้ยประกันสุขภาพ : โดยเพิ่มวงเงินหักลดหย่อน ค่าเบี้ยประกันสุขภาพจากเดิมตามจ่ายจริงไม่เกิน 15,000 บาท เป็นไม่เกิน 25,000 บาท และเมื่อรวมกับการหักลดหย่อนค่าเบี้ยประกันชีวิตและเงินฝากประเภทสงเคราะห์ชีวิตแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท ทั้งนี้ตั้งแต่ปีภาษี 2563 เป็นต้นไป เพื่อให้ประชาชนมีหลักประกันสุขภาพเพิ่มขึ้นและมีภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพลดลง และรัฐสามารถนำรายจ่ายด้านสาธารณสุขที่ลดลง จากการทำประกันสุขภาพของประชาชนไปช่วยเหลือประชาชนกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ทั้งในด้านสาธารณสุขและด้านอื่นๆ ได้มากขึ้น
ทั้งนี้สำหรับผู้มีปัญหาด้านการเงิน ผ่อนงวดรถ ผ่อนบ้าน ขอให้ติดต่อประสานงานเจรจากับธนาคารที่ยื่นกู้สินเชื่อที่ธนาคารเจ้าหนี้ด้วยตนเอง เพื่อหาแนวทางในการประนอมหนี้ร่วมกัน หากมีปัญหาในการเจรจาประนอมหนี้ ให้โทรปรึกษาหรือร้องเรียนกับกระทรวงการคลังที่สายด่วน 1689 ได้ตลอด เพราะธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย ได้หารือช่วยเหลือกันในครั้งนี้แล้ว.