เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ‘โควิด-19’ มีความรุนแรงมากขึ้น รัฐบาลขอความร่วมมือให้ประชาชนหยุดการเคลื่อนที่
เพื่อหยุดการแพร่กระจายของโรค
ส่งผลให้ภาคธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมของประเทศ
มองหาแนวทางให้ธุรกิจของตนสามารถดำเนินการต่อไปได้ หากสถานการณ์ดำเนินไปจนถึงขั้นต้องปิดประเทศ
หลายองค์กรเริ่มให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) เพื่อให้ธุรกิจยังสามารถดำเนินต่อได้ท่ามกลางสถานการณ์การระบาด “หัวใจสำคัญ” ของการดำเนินธุรกิจในสภาวะไม่ปกติ จำเป็นต้องมีการกำหนดแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Planning-BCP) ฉบับเร่งรัด เพื่อไม่ให้ธุรกิจหยุดชะงัก
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
บริษัท
บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (Bluebik) บริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และการจัดการนวัตกรรมและเทคโนโลยี เสนอแผนการกำหนดความต่อเนื่องทางธุรกิจฉบับเร่งรัด ด้วย 4 ขั้นตอนง่ายๆ เรียกว่า “IDEA” โดยมีรายละเอียด
ดังนี้
ขั้นตอนแรก I - Identify Key Business Function : เป็นการกำหนดหน้าที่งาน หรือกระบวนการทางธุรกิจที่สำคัญ โดยระบุหน้าที่งานหรือกระบวนการทางธุรกิจใดที่อาจหยุดชะงัก อันเนื่องมาจากสถานการณ์การระบาดของโรค COVID-19 และจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ
ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมทั้งผลการดำเนินงานของบริษัท ในเมื่อไม่สามารถดำเนินการป้องกันในทุกๆ ส่วนขององค์กรได้อย่าง 100% ฉะนั้นจำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญกระบวนการทางธุรกิจ ที่ต้องเฝ้าระวังและหาทางรับมือกับกระบวนการที่มีความสำคัญเป็นลำดับต้นๆ
ก่อน
เมื่อองค์กรกำหนดหน้าที่งานหรือกระบวนการทางธุรกิจที่สำคัญได้
จะสามารถพิจารณาจัดสรรทรัพยากรที่จำเป็นได้ อาทิ บุคลากร
เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ต่างๆ ข้อมูลที่จำเป็น ระบบงานที่เกี่ยวข้อง
หรือแม้แต่ผู้ให้บริการภายนอกที่จำเป็น ฯลฯ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างไม่ติดขัด และที่สำคัญต้องหาจุด trigger ที่เหมาะสมในการเริ่มใช้แผน BCP เพราะหากเริ่มเร็วเกินไป
ต้นทุนการทำงานจะสูงขึ้นเกินจำเป็น แต่ถ้าช้าไปก็อาจจะปรับตัวไม่ทันจนเกิดความเสียหายได้
ในกรณีการแพร่ระบาดของโควิด
แนะนำให้ยึดประกาศจากรัฐบาลหรือจำนวนผู้ป่วยเป็นตัววัดสถานการณ์ว่าควรเริ่มใช้แผน BCP
ขั้นตอนที่สอง D - Determine Risks & Business Impacts : คือการวิเคราะห์ความเสี่ยงและประเมินผลกระทบทางธุรกิจ ที่เห็นได้ชัดในวิกฤตการระบาดของโรค COVID-19 คือความเสี่ยงที่เกี่ยวกับมนุษย์ โดยเฉพาะบุคลากรที่รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤตินี้ ในสถานการณ์ปัจจุบันบุคลากรกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยที่หลายภาคส่วนวิเคราะห์และประเมินให้มีความเสี่ยงสูง หากการระบาดไวรัสส่งผลให้เกิดการขาดแคลนบุคลากร หรือบุคลากรที่สำคัญไม่สามารถมาปฏิบัติงานในกระบวนการธุรกิจสำคัญที่ระบุไว้ตามปกติ ส่งผลให้การดำเนินงานหยุดชะงักและเกิดความไม่ต่อเนื่อง อาจนำมาซึ่งกระทบต่อชื่อเสียงความน่าเชื่อถือขององค์กร รวมถึงสูญเสียโอกาสและรายได้ และที่จะขาดไม่ได้คือกำหนดระยะเวลาเป้าหมายในการฟื้นคืนสภาพเป็นปกติ ภายในระยะเวลาที่กำหนดด้วย (Recovery Time Objective – RTO)
ขั้นตอนที่สาม E - Establish Practical Countermeasures : จัดทำมาตรการและแนวทางการรับมือภัยคุกคามที่สามารถปฏิบัติได้จริง
ขั้นตอนนี้ต้องประสานความร่วมมือทั้งหน่วยงานภายใน และหน่วยงานภายนอกองค์กรที่เกี่ยวข้อง
เพื่อกำหนดมาตราการหรือวิธีสำรองในการดำเนินธุรกิจ ต้องคำนึงถึงการนำไปใช้ได้จริง
มีความเหมาะสมกับธุรกิจ
จากตัวอย่างข้างต้นเกี่ยวกับความเสี่ยงและผลกระทบด้านบุคลากร
ด้วยมาตรการการรับมือที่เริ่มมีการนำไปใช้อย่างแพร่หลาย
ด้วยการให้บุคลากรซึ่งมีปัจจัยหลายประการที่องค์กรควรคำนึง เช่น
การปฏิบัติงานที่บุคลากรนั้นๆ ว่าสามารถทำงานจากที่บ้านได้จริงหรือไม่
เครื่องมือหรือเทคโนโลยีขององค์กรสามารถรองรับได้
ข้อมูลที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานอยู่ในรูปแบบดิจิทัลที่พร้อมต่อบุคลากรหรือไม่
ฉะนั้นก่อนที่องค์กรจะเริ่มมาตรการ Work from Home องค์กรควรทำการประเมินความพร้อมของปัจจัยต่างๆ ที่จะสนับสนุนการทำงานอย่างเพียงพอ
นอกจากนี้ การสื่อสารมาตรการและแนวทางการรับมือไปยังผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักและบุคลากรอย่างทั่วถึง
เป็นอีกหนึ่งหัวใจหลักของขั้นตอนนี้
เพราะหากไม่ได้รับการสื่อสารที่เหมาะสมและทั่วถึงเกี่ยวกับมาตรการที่วางไว้
อาจก่อให้เกิดความวุ่นวายหรือคลื่นใต้น้ำ ที่เกิดจากความเข้าใจผิดว่าองค์กรไม่ได้เห็นค่า
หรือความสำคัญของชีวิตและความปลอดภัยของพนักงาน
ทำให้พนักงานอาจหมดศรัทธาในองค์กรได้จนเกิดผลเสียในระยะยาวต่อองค์กร
ขั้นตอนที่สี่ A - Assure the Efficiecy of BCP : ทดสอบและปรับปรุงแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจอย่างสม่ำเสมอ
แม้องค์กรจะดำเนินการระบุกระบวนการทางธุรกิจที่สำคัญ
วิเคราะห์และประเมินความเสี่ยงและผลกระทบ รวมถึงกำหนดมาตรการรับมือดีอย่างไร เพราะหากเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน
ไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าสิ่งที่ทำมาอย่างดีแล้วนั้นจะสามารถใช้ได้บนสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
การหมั่นทดสอบแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ทุกคนมีความมั่นใจว่าแผนที่ได้มีการจัดทำนั้นจะมีประสิทธิภาพ
และใช้ได้จริงหากเกิดเหตุการณ์วิกฤตขึ้น
ไม่ใช่สุดท้ายแผนที่จัดทำจะเป็นเพียงเศษกระดาษที่มีไว้ให้พนักงานและผู้บริหารซับน้ำตา
เพราะไม่สามารถนำพาองค์กรให้พ้นวิกฤตได้