สถานการณ์การแพร่ระบาดของ ไวรัส COVID-19 (โควิด-19) ยังขยายความรุนแรงและแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องลุกลามไปทั่วโลก
รวมทั้งประเทศไทย ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างทั้งภาคอุตสาหกรรม,
เศรษฐกิจ, ธุรกิจต่างๆ และภาคการท่องเที่ยว เนื่องจากเชื้อไวรัสชนิดนี้สามารถแพร่เชื้อจากคนสู่คนในกลุ่มผู้สัมผัสใกล้ชิด
โดยส่วนใหญ่ติดต่อผ่านทางละอองเสมหะ จากการไอ จาม น้ำมูก และน้ำลาย
โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีคนอยู่รวมกันเป็นจำนวนมากก็จะยิ่งมีความเสี่ยงต่อการติดต่อได้มากขึ้น
ส่งผลให้เกิดความหวาดระแวงต่อกันว่าจะเกิดการแพร่ระบาดติดต่อกันง่ายมากขึ้น ไม่ว่าเป็นที่โรงเรียน, สถานที่ท่องเที่ยว หรือแม้แต่บริษัทและสำนักงานต่างๆ
การทำงานที่บ้าน หรือ Work from Home (WFH) ถือเป็นมาตราการอีกทางเลือกอีกทางหนึ่งในการหลีกเลี่ยงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ในขณะนี้ ซึ่งพนักงานทำงานที่บ้านต้องเปลี่ยนวิธีการทำงานใหม่ ,เครื่องมือในการทำงานและการติดต่อสื่อสารให้สอดคล้องกับยุคเทคโนโลยีดิจิทัล
ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเข้าไปทำงานในออฟฟิศอีกต่อไป เนื่องจากไม่ว่าจะอยู่ที่ซีกไหนของประเทศไทยก็สามารถทำงานได้อย่างไร้ขีดจำกัด
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ทำงานที่บ้านเริ่มเป็นที่นิยมหลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2008
ปี 2008 ที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจและวิกฤติการณ์ทางการเงินโลก
(Global Financial Crisis) ทำให้บริษัทขนาดเล็กและขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกาอนุญาตให้พนักงานสามารถทำงานที่บ้านได้
เพื่อเป็นการลดต้นทุนทั้งของบริษัทและพนักงาน ซึ่งนับตั้งแต่ปีนั้นเป็นต้นมา ชาวอเมริกันเริ่มนิยมทำงานที่บ้านเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
จาก 4.1% ในปี 2008 เพิ่มเป็น 5.4% ในอีก 10 ปีต่อมา
หลังจากปี 2008
ที่เศรษฐกิจเติบโตชะลอตัวลงและยังไม่มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้นมาเมื่อไหร่ ทำให้บริษัทต่างๆ
พยายามลดต้นทุนให้ได้มากที่สุด รวมถึงลดขนาดของตัวออฟฟิศเล็กระชับลง และสนับสนุนให้พนักงานออฟฟิศทำงานที่บ้านแทนมากขึ้น
ซึ่งผลที่ตามมาไม่ใช่แค่บริษัทสามารถลดต้นทุนได้เท่านั้น
แต่ตัวพนักงานเองก็ทำงานได้มากขึ้นด้วย จากการศึกษาของฮาร์วาร์ด บิสิเนส รีวิวิ( Harvard Business Review) พบว่าการทำงานที่บ้านนั้น
นอกจากทำให้พนักงานทำงานได้งานมากขึ้นถึง 4.4%
แล้วยังทำให้อัตราคนลาออกจากบริษัทลดลงอย่างเห็นได้ชัด
อีกทั้งจากการศึกษาของสแตนฟอร์ด ยูนิเวอร์ซิตี้ ( Stanford University) พบว่าในพนักงานมากกว่า 16,000
คนของบริษัทเอเจนซี่ทัวร์ของจีนมีความสุขจากการทำงานมากขึ้น
ลดอัตราคนออกจากงานได้กว่าครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
นั่นคือเหตุผลว่าตอนทำงานในออฟฟิศมักจะมีสิ่งรบกวน
เช่น พักกินกาแฟ มีคนทักรบกวน เข้าสังคม แต่พอได้ทำงานที่บ้านแล้วทำงานได้มากขึ้น
มีสมาธิมากขึ้น สามารถจัดการสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้มากขึ้น
การทำงานที่บ้านทำให้พนักงานต้องรู้จักวางแผนตารางการทำงานมากขึ้น
ทำให้พนักงานทำงานในตารางเวลาที่ยืดหยุ่นขึ้น Work-Life
Balance เริ่มเป็นจริงมากขึ้นตามไปด้วย ทำงานได้มากขึ้น
แถมมีเวลาให้ครอบครัวมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ผลเสียทำงานที่บ้านที่ไม่ค่อยมีใครคิดถึง
1. ไม่ได้จดจ่ออยู่กับงานตลอดเวลา
2. เหงา
3. ประสิทธิภาพในการสื่อสารและทำงานร่วมกันลดลง
4. มีสิ่งรบกวนในบ้าน
5. Time
Zone ระหว่างเพื่อนร่วมงานต่างกัน
6. ความรู้สึกอยากทำงานลดลง
ทั้ง 6
ข้อดังกล่าวเป็นข้อเสียของการทำงานที่บ้าน หลายคนไม่ชอบทำงานที่บ้าน เพราะที่บ้านสามารถปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนไม่ได้ทำงาน
การทำงานที่บ้านทำให้ธุรกิจไม่สามารถรักษาวัฒนธรรมขององค์กรเอาไว้ได้
ไม่เหมือนตอนที่งานในห้องเดียวกันที่ออฟฟิศ
พนักงานยังอยากเห็นหน้าคุยกันอยู่ทุกวัน
การประสานงานที่ออฟฟิศดีกว่าตอนทำงานที่บ้าน
ที่สำคัญคือการที่เทคโนโลยีเชื่อมต่อพนักงานตลอดเวลา นั่นอาจหมายถึง ต้องพร้อมทำงานตลอดเวลาด้วยเช่นกัน จริงอยู่ที่หากทำงานที่บ้านไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศตอน 9 โมง เลิก 5 โมงเย็น แต่นั่นหมายความว่าต้องทำงานก่อน 9 โมง และหลัง 5 โมงเย็นได้เช่นเดียวกัน
ธุรกิจที่เกิดขึ้นจากทำงานที่บ้าน
พวกซอฟท์แวร์การสื่อสารในที่ทำงานอย่าง Slack หรือ Video Conference อย่าง Zoom บริการพวกนี้ได้รับความนิยมส่วนหนึ่งมาจาก Work From Home โดยเฉพาะธุรกิจอย่าง “Co-working Space” ซึ่ง Co-working
Space มาจากการที่บริษัทมานั่งทบทวนปัญหาของตัวพื้นที่ในออฟฟิศเอง
และบริษัทอยากให้มีพื้นที่สำหรับทั้งโฟกัสไปที่การทำงาน พื้นที่ทำงานร่วมกัน
พื้นที่ส่วนตัวไว้คุยสองต่อสอง และพื้นที่ทำกิจกรรมร่วมกัน
เพื่อให้พนักงานรู้สึกว่ามาทำงานที่ออฟฟิศก็เหมือนได้ทำงานที่บ้าน
หรือแม้แต่ แอปพลิเคชัน LINE ก็สามารถประชุมแบบวิดีโอแบบกลุ่มกันได้
แถมง่ายและสะดวกเพราะคนไทยคุ้นเคยกับการติดต่อผ่านLINE เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ การทำงานที่บ้านปัจจุบันมีหลายบริษัทชั้นนำของไทย
เริ่มให้พนักงานของบริษัทในทำงานที่บ้านบ้างแล้ว หลังตรวจพบว่าพนักงานบริษัทติดเชื้อ
หรือต้องสงสัยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 บริษัทได้สั่งปิดออฟฟิศทันที พร้อมกับห้ามพนักงานมาทำงานชั่วคราว
อาจเป็น 7 วัน หรือ 14 วัน โดยให้พนักงานทำงานที่บ้านแทน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายโรค
หรือการทำให้โรคแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น ซึ่งแนวโน้มการทำงานที่บ้านอาจเป็นต้นแบบของบริษัทสมัยใหม่นำมาประยุกต์ใช้ในองค์กรในอนาคตก็อาจเป็นไปได้