"Cross-border
e-commerce" หรือ
"การค้าออนไลน์แบบไร้พรมแดน" เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น สอดคล้องกับจำนวนผู้ใช้อินเตอร์เน็ต
และสมาร์ทโฟนที่เพิ่มขึ้น
โดยมีข้อมูลจากสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทยที่พบว่ามีการซื้อสินค้าจาก
LAZADA มีทั้งหมด 75 ล้านชิ้น ซึ่งในจำนวนนั้น 80 % คือ
สินค้าที่ส่งมาจากประเทศจีน เท่ากับว่า
ขณะนี้คู่แข่งการค้าขายออนไลน์ไม่ได้จำกัดเฉพาะอยู่ในประเทศเท่านั้น แต่การแข่งขันขยายวงกว้างไร้พรมแดน
ด้วยแรงจูงใจจากที่ปัจจุบันตลาดซื้อขายออนไลน์ไทยโตขึ้นปีละ
30% ถือว่าก้าวกระโดดในช่วง 5 ปี มูลค่ากว่า 2 แสนล้านต่อปี โดยรูปแบบค้าแบบ Business-to-Consumer หรือ B2C การขายสินค้าไปยังผู้บริโภคทั่วโลกโดยตรง และ C2C เป็นการติดต่อโดยตรงระหว่างลูกค้ารายย่อยที่ซื้อขายกันเองมากขึ้น
ซึ่งมีทั้งผ่านช่องทางโซเชี่ยลมีเดียร์ สัดส่วน 50%
E-market place 30% และแพลตฟอร์มออนไลน์ 20%
ขณะที่สินค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือกลุ่มแฟชั่นเสื้อผ้า เครื่องสำอาง
และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ระบุว่า ช่วง 3 ปี
ที่ผ่านมาตั้งแต่ ปี 2558 ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มประเทศ CLMVT มีสัดส่วนมูลค่า e-commerce
แบบ B2C ในGDP สูงที่สุดในโลกที่ร้อยละ 4.5 และประมาณการณ์ว่าในปี
2562 มูลค่า e-commerce ของภูมิภาคนี้จะมีมูลค่าถึง 3.81 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดยประเทศที่มีมูลค่า e-commerce สูงที่สุดใน CLMVT คือ ไทย
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ล่าสุด ในปี 2561 มูลค่า B2C E-commerce ของไทยเติบโตถึงร้อยละ 14 และคาดการณ์ว่าในปี 2562
จะเติบโตเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 2 และประเทศในกลุ่ม CLMVT มีระดับความพร้อมด้าน e-commerce ที่แตกต่างกัน โดยไทยมีความพร้อมเป็นอันดับที่ 49
ของโลกและสูงที่สุดในกลุ่ม CLMVT อีกด้วย
เร่งปั้น ‘สตาร์ทอัพไทย’ แข่งแพลตฟอร์มต่างชาติ
ขณะที่นายพณชิต กิตติปัญญางาม
นายกสมาคมการค้าเพื่อผู้ประกอบการเทคโนโลยีรายใหม่ และผู้บริหาร บริษัท ซีทรัส
จำกัด กล่าวว่า นโยบายปั้นสตาร์ทอัพที่ภาครัฐผลักดันถือว่ามาถูกทางแต่ควรมีนโยบายที่เป็นรูปธรรมอย่างจริงจัง และสิ่งสำคัญคือตัวผู้ประกอบการเองต้องสร้างอัตลักษณ์ตัวตนให้ชัดเจนด้วย
รัฐและเอกชนต้องเดินไปในทิศทางเดียวกัน
โดยปัจจุบันเทรนสตาร์ทอัพไทยเริ่มเปลี่ยนจาก
B2B เป็น B2C มากขึ้น
เนื่องจากรายใหญ่เน้นการลงทุนเจาะฐานลูกค้าจึงเป็นต้นทุนที่ค่อนข้างสูงจะทุ่มลงทุนเพื่อให้ได้ฐานลูกค้าเป็นสำคัญก่อน
ส่งผลให้เกณฑ์ของ B2C สำหรับสตาร์ทอัพใหม่ๆของไทยจะเริ่มยากขึ้น
ผู้ประกอบการรายใหญ่เริ่มพัฒนาระบบ DATA และแอพลิเคชั่นแข่งขันกัน และจุดอ่อนกลับเป็นการป้อนสินค้าให้กับรายใหญ่หรือเป็นส่วนหนึ่งของระบบเท่านั้น
หากมองตลาดอาเซียนแม้จะมีทิศทางโตขึ้นแต่กลับเป็นแพลตฟอร์มและสินค้าจากจีนค่อนข้างใหญ่
เนื่องจากจีนสามารถเข้าถึงผู้ซื้อได้ระดับโกลบอล ดังนั้นสตาร์ทอัพไทยต้องเน้นสร้างแบรนด์ให้กับตัวเองก่อน และควรเจาะตลาด market place ให้ชัดเจนว่าต้องการกลุ่มไหนสินค้าใดเพื่อให้สามารถเเข่งขันได้
จากประเด็นการแข่งขันที่รุนแรงสินค้าจากต่างประเทศแบบออนไลน์ไร้พรมแดน
โดยเฉพาะจากสตาร์ทอัพจีนเริ่มทะลักมากขึ้นจนส่งผลทำให้ผู้ประกอบการไทยเเข่งขันลำบาก
ผู้ประกอบการได้มีความพยายามเรียกร้องให้ภาครัฐกำหนดมาตรการป้องกันสินค้าจากจีนที่ทะลักเข้ามา รวมถึงควรมีมาตรการกระตุ้นการลงทุนเพื่อเสริมแกร่งให้สตาร์ทอัพมากขึ้นคู่ขนานกันไป
สิ่งน่าสนใจใน Digital Economy Report 2019
ลุย "อี-คอมเมิร์ซจีน" เอสเอ็มอีก็ทำได้
Bangkok Bank SMEเราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ
สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษาธนาคารกรุงเทพคลิกหรือสายด่วน1333
