ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) โดยสายลูกค้าธุรกิจรายกลางนครหลวง
จัดสัมมนาพิเศษ ได้รับเกียรติจาก ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล
รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และเลขานุการคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ
เป็นผู้บรรยายเรื่อง “จับสัญญาณเศรษฐกิจโลก เจาะลึกเศรษฐกิจไทย” โดยมี คุณวีระศักดิ์
สุตัณฑวิบูลย์ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้รับผิดชอบลูกค้าธุรกิจรายกลาง และคุณกนกศักดิ์
โมกขมรรคกุล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้อำนวยการลูกค้าธุรกิจรายกลางนครหลวง
ร่วมต้อนรับ ได้รับความสนใจจากลูกค้าและผู้ประกอบการเข้าร่วมรับฟังกว่า 280 ราย เมื่อวันพุธที่ 16 ตุลาคม
ที่ผ่านมา ณ ห้องโกมุท ชั้น 29 อาคารสำนักงานใหญ่ สีลม
คุณวีระศักดิ์ สุตัณฑวิบูลย์ กล่าวต้อนรับในพิธีเปิดงาน มีใจความว่า
ปีนี้เป็นอีกหนึ่งปีที่สถานการณ์ด้านสังคมและเศรษฐกิจอยู่ในภาวะที่ต้องเฝ้าระวัง
หลายหน่วยงานปรับประมาณการณ์เศรษฐกิจไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง
สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยยังคงเผชิญปัจจัยเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่ยังคงยืดเยื้อ
กรณีอังกฤษออกจากสหภาพยุโรปหรือ Brexit การประท้วงในฮ่องกง
รวมถึงเศรษฐกิจถดถอยในยูโรโซน
ล้วนแต่เป็นปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยทั้งสิ้น
เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการ ธนาคารเล็งเห็นว่าการให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต เป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในการที่จะนำข้อมูลที่ได้ไปใช้วางแผนรับมือปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ หากเตรียมความพร้อมได้เร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งสามารถลดความรุนแรงของผลกระทบได้อย่างทันท่วงที
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ให้ข้อมูลในการบรรยาย โดยประเมินว่าเศรษฐกิจไม่เฉพาะแต่ในประเทศไทยเท่านั้นจะเกิดการชะลอตัวตามวัฏจักรเป็นปกติประมาณ 2-3 ปี แต่ไม่ถึงขั้นวิกฤตเช่นปี 2540 ที่ผ่านมา ขอให้ผู้ประกอบการอย่าตื่นตระหนก แต่จงพิจารณาว่าตอนนี้ควรทำอะไร และมองหาโอกาสใหม่ที่จะเดินหน้าต่อไปได้ รัฐบาลเองไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้แบ่งงานออกเป็น 7 ด้านเพื่อให้การช่วยเหลือและกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่
1.
การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานราก
ผ่านกลไกการดำเนินงานของรัฐหรือกลุ่มองค์กรชุมชน
2.
การช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยการเพิ่มสภาพคล่องผู้ประกอบการ และลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก
สนับสนุนผู้ประกอบการที่มีศักยภาพขยายตลาด
เพื่อรองรับส่วนแบ่งตลาดที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า
3.
ยกระดับราคาสินค้าเกษตรและรายได้เกษตรกร โดยการพัฒนาด้านการตลาดและลดต้นทุนการผลิต
4.
การเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐในปี 2562 และปี 2563
5. ขับเคลื่อนการส่งออก
หาตลาดใหม่และรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาทให้เหมาะสม
6. มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว
7. การลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ
และการดึงดูดการลงทุนเข้าประเทศ
โดยเฉพาะการส่งเสริมและเร่งเดินหน้าอย่างเต็มที่ในโครงการขนาดใหญ่อย่าง EEC ประกอบด้วย โครงการมาบตาพุด โครงการรถไฟเชื่อม 3 สนามบิน โครงการสนามบินอู่ตะเภา และโครงการแหลมฉบัง
ดร.กอบศักดิ์ เน้นย้ำว่า “เศรษฐกิจโลกชะลอตัว แต่ยังไม่ถึงกับวิกฤติ ผู้ประกอบการไทยยังแข็งแกร่ง ผ่านวิกฤติเศรษฐกิจมาหลายครั้ง และจะผ่านไปได้ ครั้งนี้นับเป็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกช่วงสั้นๆ เป็นโอกาสในการมองหาลู่ทางใหม่ๆ เพื่อเตรียมพร้อมรอโอกาสช่วงที่เศรษฐกิจโลกกลับมาพื้นตัวอีกครั้ง”