ในชีวิตการทำงาน
นอกจากอยู่ในออฟฟิศแล้ว อาจมีบางวันที่ต้องออกไปพบปะเจอะเจอติดต่อธุรกิจ
เวลานี้แหละที่ต้องแสดงความเป็นมืออาชีพ ทั้งในส่วนของรูปลักษณ์และการนำเสนองาน
การแต่งตัวให้ดูดีในสไตล์ที่เหมาะกับตัวเองไม่เพียงเสริมลุคให้ดูน่าเชื่อถือเท่านั้น
แต่เมื่อบวกกับคำพูดที่กลั่นมาจากสมองและประสบการณ์การทำงาน
ยิ่งสามารถโน้มน้าวใจผู้ฟังได้เป็นอย่างดี
ก่อนจะลุกขึ้นเลือกเสื้อผ้า
ต้องทราบว่าในงานที่จะไปนั้น มีการกำหนดไว้หรือเปล่าว่าควรแต่งตัวอย่างไร คนที่ไปติดต่อคุยธุรกิจด้วยทำงานอะไร,
บริษัทหรือหน่วยงานนั้นมีกฎระเบียบด้านการแต่งกายหรือไม่-อย่างไร
เมื่อได้ข้อมูลแล้วก็มาเปิดตู้เสื้อผ้า เลือกชุดกัน
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
ผู้ชาย
พยายามแต่งตัวให้เหมาะกับตำแหน่งหน้าที่ของตัวเองหรือคนที่จะไปคุยงานด้วย
เช่น หากต้องเข้าพบผู้บริหารระดับสูงที่ชอบใส่สูท ก็ควรใส่สูทไป
หากไปพบลูกค้าที่ทำงานธนาคาร
บริษัทบัญชี ธุรกิจการเงิน บริษัทกฎหมาย หน่วยงานภาครัฐ หรือบริษัทที่ปรึกษา
ควรแต่งตัวให้เรียบร้อยที่สุด
เพราะหน่วยงานและอุตสาหกรรมเหล่านี้มีความเป็นทางการอย่างมาก
โดยอาจใส่สูทแบบเข้ารูปที่มีขนาดพอดีกับลำตัว ไหล่ไม่ตก และขากางเกงแตะคลุมอยู่บนรองเท้าเล็กน้อย
ตัวในเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวหรือสีเรียบๆ สอดชายเสื้อเชิ้ตในกางเกงสีเข้ม
ซึ่งเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยมากกว่าสีสว่าง
หรืออาจเตรียมเสื้อนอก (เบลเซอร์)
ไว้สวมทับเสื้อเชิ้ต
เพื่อเสริมลุคให้ดูสมาร์ทและเป็นมืออาชีพในกรณีที่ลูกค้าและสถานที่มีความเป็นทางการ
รวมถึงในกรณีที่ไปพบลูกค้าที่ทำธุรกิจค้าขาย ทำด้านเวชภัณฑ์ และบริษัทด้านการศึกษา
เชื่อหรือไม่ว่าลูกค้าชอบสังเกตรองเท้าของคนที่มาคุยงาน
การสวมรองเท้าที่ดูดีและสะอาดสามารถสร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้าได้
ดังนั้นก็เก็บรองเท้ากีฬาหรือรองเท้าประเภทเปิดนิ้วเท้าไว้ใส่เล่นเวลาอื่น
และเลือกรองเท้าทำงานสีน้ำตาล สีดำ หรือรองเท้าหนัง (อย่าลืมถุงเท้าที่สีแมทช์กัน
หลีกเลี่ยงถุงเท้าสีสัน ลวดลายฉูดฉาด หรือถุงเท้าขาว)
วิธีง่ายๆ ที่จะช่วยให้ลุคดูดีขึ้น
คือให้สีของรองเท้าและเข็มขัดแมทช์กัน ส่วนนาฬิกาควรเลือกที่ไม่หรูหราเกินไป
เพื่อจะได้ไม่ดึงความสนใจของคนฟัง
หากไปพบลูกค้าที่ทำงานด้านการตลาด
หรือไอที ก็สามารถเล่นสีและสไตล์ได้ แต่ยังคงความสมาร์ทไว้ด้วยเสื้อนอกที่คล้ายสูท
กางเกงสีเข้มหรือสีเบจ
ถ้าไปพบเจอคนทำงานด้านสตาร์ทอัพหรืออุตสาหกรรมครีเอทีฟ
ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องเครื่องแบบว่าใส่กางเกงยีนส์กับเสื้อยืด
ก็อาจแต่งกายให้เข้ากับลูกค้าอย่างยีนส์สีเข้มขากระบอกกับเสื้อเชิ้ต
หลีกเลี่ยงยีนส์ทรงรัดรูปหรือยีนส์ขาดๆ
ส่วนลูกค้าที่เป็นบริษัทโฆษณาหรือเอเจนซีกราฟฟิก
มีเสรีภาพค่อนข้างมากในเรื่องของสี ก็อาจเลือกชุดที่สะท้อนบุคลิกของผู้สวมใส่หรืออุตสาหกรรมที่ทำงานอยู่
ยามไปหาลูกค้าเหล่านี้
สำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(เอสเอ็มอี) ส่วนใหญ่ไม่มีกฎเกณฑ์ด้านการแต่งกายที่ตายตัว
แต่ก็ควรดูแลเสื้อผ้าให้เนี้ยบและสะอาด ยามไปพบหาติดต่อธุรกิจกัน
การใส่ใจในรายละเอียดจะทำให้ลูกค้าเห็นถึงการเตรียมตัวมาอย่างดี มีการวางแผน และให้เกียรติผู้ไปเข้าพบ แต่ในกรณีที่คาดเดาสถานการณ์ผิด คือใส่สูทไปเต็มยศแล้วเจอลูกค้าใส่กางเกงลายพรางกันทั้งออฟฟิศ ก็อาจถอดสูทออก พับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้นมา แล้วคุยงานกัน ก็แค่นั่น!
ผู้หญิง
อาจใส่เสื้อเชิ้ตผ้าชีฟอง-คอตตอน
และเสื้อเบลาส์ ซึ่งให้ความรู้สึกเรียบง่ายแต่ดูดี
หากอยากให้ดูสมาร์ทก็สวมสูททับอีกตัว คู่กับกางเกงสูทหรือกางเกงทรงสุภาพสีเข้ม
อันเป็นสไตล์คลาสสิกไม่มีเอาท์
หากอยากให้เป็นทางการและดูเป็นมืออาชีพหน่อย
ก็สวมเดรสสีเข้ม หรือกระโปรงคลุมเข่า ถ้าเหนือเข่าไม่ควรเกินสี่นิ้ว
ส่วนรองเท้าอาจเป็นรองเท้าคัทชู
รองเท้าส้นเตี้ย หรือส้นสูง(แบบปิดนิ้วและส้น แต่ไม่ควรสูงเกิน 8 ซม.)
เพื่อจะได้ดูมั่นใจ โดยนอกจากสีดำแล้ว อาจเลือกสีที่เหมาะและแมทช์กับชุด
สำหรับเครื่องประดับนั้นใส่ให้น้อยหรือเน้นแบบเรียบๆ
เข้าไว้
นาฬิกาเป็นเครื่องประดับที่เรียบง่ายแต่งามสง่าเพราะสะท้อนถึงความสำเร็จและความเป็นมืออาชีพ
โดยเฉพาะนาฬิกาสายหนังแบบคลาสสิก
ถ้าเป็นนาฬิกาแบบมีสีสันก็ต้องดูว่าแมทช์กับชุดหรือเปล่า หลีกเลี่ยงอะไรที่หวือหวาอย่างตุ้มหูใหญ่เป้ง
หรือสร้อยคอวูบวาบ เพราะแทนที่ลูกค้าจะสนใจเรื่องที่กำลังพูด
อาจมัวแต่มองตุ้มหูหรือเล็งสร้อยคอ
กระเป๋าเอกสารดีๆ สักใบซึ่งดูมีสไตล์ตลอดกาล อาจเป็นสีดำ หรือสีที่เข้ากับชุด เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทั้งผู้ชายและผู้หญิง เพราะทำให้ดูเป็นคนมีระเบียบ
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
อย่าโชว์เนื้อหนังมากนัก : การไปพบลูกค้าไม่ใช่การไปเดินแคทวอล์กและลูกค้าก็ไม่ควรวอกแวกไปกับท่อนขาหรือลำแขน
แต่ควรพุ่งความสนใจไปกับสิ่งที่กำลังพรีเซนต์ นอกจากนั้น
การแต่งกายมิดชิดจะทำให้ดูมีคลาสอีกด้วย
อีกทั้งควรหลีกเลี่ยงอย่าใส่กางเกงโยคะ
กางเกงกีฬา เลกกิ้ง ยีนส์ทรงสกินนี่ กางเกงขาสั้น เสื้อยืด รองเท้าคีบ
เพราะดูไม่เป็นผู้ใหญ่และไม่เป็นมืออาชีพ
เลือกเสื้อผ้าที่พอดีตัว : ชุดที่สวมใส่ควรมีขนาดพอดีกับลำตัว ไม่ใช่กางเกงยาวลากพื้น
เสื้อเชิ้ตรัดติ้วจนเห็นพุง หรือเสื้อนอกหลวมโคร่ง
หากใส่เสื้อเบลาส์ไม่ควรคอลึกเกินไป รวมถึงเสื้อผ้าควรรีดอย่างดี สะอาด
ไม่มีรอยเปื้อน ไม่มีกระดุมเม็ดไหนลุ่ย เพราะหากไม่ใส่ใจในรายละเอียดเหล่านี้ จะทำให้ดูเป็นคนทำอะไรลวกๆ
ไม่มีระเบียบ และไม่มีความเป็นมืออาชีพ
เสื้อผ้าที่พอดีกับลำตัวและมีความสะอาดเรียบร้อย
สามารถสร้างความรู้สึกสดชื่น รวมถึงช่วยให้มีความมั่นใจมากขึ้นยามสวมใส่ด้วย
อย่าลืมทรงผม : เมื่อแต่งตัวเนี้ยบแล้วต้องไม่ลืมผมเผ้า
โดยผู้ชายต้องตัดแต่งให้เข้าทรง ส่วนผู้หญิงก็รวบหรือจัดแต่งให้เข้าทรง
ไม่ให้หล่นมาปรกหน้าตา แล้วอย่าลืมตัดเล็บให้เรียบร้อยและดูสะอาดตาด้วย
อย่าปล่อยให้เล็บบิ่น
ผู้หญิงไม่ควรทาสีเล็บฉูดฉาด
หากทาสีเล็บควรเลือกสีโทนอ่อนที่เข้ากับเสื้อผ้า เพราะคนมักมองดูมือฝ่ายตรงข้ามระหว่างการพูดคุยธุรกิจ
การละเลยเทคนิคดูแลตัวเองเล็กๆ น้อยๆ
เหล่านี้ อาจทำให้เสียลูกค้าไป เพราะคนที่ดูแลตัวเองอย่างดีนอกจากดูดีแล้ว
ยังน่าเชื่อถืออีกด้วย
ใส่น้ำหอมแต่น้อย : น้ำหอมหรือกลิ่นหอมใดๆ
ควรมีแต่น้อย เพราะคงไม่อยากให้การคุยงานกลายเป็นห้องรมแก๊สและลูกค้ามึนงงกับกลิ่นตั้งแต่ยังไม่ได้นำเสนองาน
แต่งหน้าให้ดูเป็นธรรมชาติ : เมคอัพควรดูเป็นธรรมชาติ
ตั้งแต่รองพื้นที่ให้ดูเนียนเป็นธรรมชาติ ไม่หนาเตอะ เช่นเดียวกับลิปสติก
เพื่อจะได้ไม่ดูพยายามมากเกินไป แต่ก็ไม่ควรไปพบลูกค้าแบบหน้าสด
สีก็มีส่วน : สีสันของเสื้อผ้าบ่งบอกถึงบุคลิกภาพได้เช่นกัน
ดังนั้นก่อนจะหยิบเดรสสีแดงสดหรือเสื้อเชิ้ตลายสัปปะรดมาใส่
ขอให้คิดถึงหัวอกลูกค้าดูก่อน
สีที่เหมาะสมสำหรับการพบปะทางธุรกิจมีอย่าง
น้ำเงินเข้ม ซึ่งแสดงถึงความจริงจัง
สีขาวเป็นสัญลักษณ์ของความสง่างามและความน่าเชื่อถือ สีน้ำเงินสะท้อนถึงทักษะในการสื่อสาร
สีดำเป็นสีของความรู้ สีเทาเป็นสีกลางๆ มักใช้ในการเจรจาต่อรองหรือยุติข้อพิพาท
เมื่อเลือกได้แล้วว่าจะแต่งตัวแบบไหน
ก็จะมั่นใจมากขึ้นในการออกไปพบปะลูกค้า
และสร้างความประทับใจในฐานะมือโปรที่น่าเชื่อถือ