นับถอยหลังอีก 9 เดือน ก็จะมีการจัดงาน
"ดูไบ เวิล์ด เอ็กโป 2020" ขึ้นที่ เมืองดูไบ
ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นงานระดับโลกที่จะขึ้นเป็นระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่วันที่
24 ตุลาคม 2563 -10 เมษายน 2564
แต่ก็มาเกิดสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐ-อิหร่าน เสียก่อนในช่วงต้นปี 2563
ที่ผ่านมา จากประเด็นเหตุลอบสังหารนายพลอิหร่าน "คัสเซม ไซลีมานี"
ด้วยคำสั่งประธานาธิบดีโดนัลทรัมป์ เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2563 เป็นชนวนเหตุให้อิหร่าน
"ชักธงรบ" ตามด้วยการส่งขีปนาวุธใส่ฐานทัพสหรัฐ เมื่อวันที่ 8 มกราคม
2562
ความวิตกต่อปัญหาสงครามจะปะทุขึ้นทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับสูงขึ้น โดยราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกทะยานขึ้นไป 4% เสี่ยงจะทะลุ 80 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ราคาทองคำในตลาดโลกที่ขยับทะลุ 1,600 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ แต่ทว่าการเดินหน้าเป็นเจ้าภาพ ดูไบ เอ็กซ์โป ก็ดำเนินต่อไป
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
โดยคาดการณ์ว่าจะมีผู้เข้าชมงานนี้ประมาณ
20-25 ล้านคนตลอดระยะเวลาจัดงาน 173 วัน บนพื้นที่จัดงาน 483 เอคเตอร์
ซึ่งจะมีประเทศต่างๆเข้าร่วมงานครั้งนี้ จำนวน 190 ประเทศ รวมถึงไทยด้วย
ภายในงานเวิล์ด เอ็กซ์โป
ซึ่งจะเป็นงานแสดงนิทรรศการที่ใหญ่ที่สุดในโลก
จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เป็นประจำทุก 5 ปี หมุนเวียนไปยังประเทศต่างๆ
และในครั้งนี้ "ดูไบ" ได้กำหนดหัวข้อหลัก “เชื่อมความคิด สร้างอนาคต
: CONNECTING MINDS, CREATING THE FUTURE หรือ “เชื่อมความคิด สร้างอนาคต” นำเสนอนวัตกรรม ภายใต้ 3
หัวข้อย่อย ได้แก่
1. โอกาส (Opportunity)
2. การขับเคลื่อน (Mobility)
และ
3. ความยั่งยืน (Sustainability)
สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (ดีป้า) ภายใต้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จะเป็นหน่วยงานหลักในการเข้าร่วมจัดแสดงงาน โดยได้เริ่มเนรมิต “Thailand Pavilion” มาตั้งแต่เดือนเมษายน 2562 โดยคาดว่าการก่อสร้างตัวอาคาร รวมการตกแต่งนิทรรศการจะเสร็จสมบูรณ์ในช่วงเดือนกันยายน 2563
สำหรับ Thailand Pavilion อาคารแสดงประเทศไทยภายในงานเวิลด์ เอ็กซ์โปครั้งนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่โซน Mobility
ขนาด 3,606 ตรม. หรือ 2.25 ไร่
ถือเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยเข้าร่วมในงานเวิลด์เอ็กซ์โป
ก่อสร้างขึ้นภายใต้แนวคิด “การขับเคลื่อนสู่อนาคต” (Mobility for the future)
ประกาศศักยภาพการเป็นผู้นำเทคโนโลยีดิจิทัลของไทยในเวทีระดับโลก
ตั้งเป้าดึงนักลงทุนเข้าสู่ประเทศไทยผ่านการพัฒนาด้านดิจิทัลของประเทศไทยในมิติ Digital
for Development ต่อยอดจากประเทศที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลก ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของดินแดนสุวรรณภูมิ
และวัฒนธรรมอันโดดเด่นแบบสยามเมืองยิ้ม ไปสู่การเป็นศูนย์กลางการพัฒนาด้านดิจิทัล ที่สามารถเชื่อมต่อทุกคนไปยังทุกที่ในภูมิภาคอาเซียน
เบื้องต้นคาดว่าจะมีผู้เข้าชม 7% จากผู้เข้าร่วมงานทั้งหมด 25 ล้านคน
ขณะที่อีกด้านหนึ่งทางสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
ประจำเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
จะเป็นหน่วยงานที่ร่วมจัดแสดงสินค้าในอาคารไทยแลนด์พาวิเลี่ยนด้วย
โดยกำหนดจะนำร้านอาหารไทย ชื่อร้าน Little Bangkok และสินค้าของที่ระลึกที่อยู่ระหว่างการคัดเลือก
คาดว่าจะมีผู้ประกอบการเข้าร่วมในส่วนดังกล่าวประมาณ 10-12 ราย เข้าร่วมผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้าแสดงคราวละ
2-4 สัปดาห์
นอกจากนี้ จะมีการจัดกิจกรรม Top Thai Brand เสริม เพื่อดึงผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพมีแบรนด์เข้าร่วมจัดแสดงอีกส่วนประมาณ 100 ราย นี่จึงถือเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยทั้งในประเทศไทย และผู้ประกอบการธุรกิจบริการไทย โดยเฉพาะร้านอาหารไทยที่อยู่ในตะวันออกกลาง ซึ่งมีประมาณ 80 แห่งจะมีโอกาสโปรโมตสร้างความรับรู้สินค้าไทย ไปยังตลาดตะวันออกกลาง ซึ่งให้ความนิยมในสินค้าไทยหลายรายการ เช่น กระเทียมดำ น้ำมะพร้าว น้ำมันกฤษณา เครื่องสำอางค์ เป็นต้น
ทั้งนี้ ตลาดดูไบถือเป็นตลาดที่ศักยภาพและยังมีแนวโน้มเติบโต เพราะมีการคาดการณ์ว่าผลพวงจากการจัดงานครั้งนี้จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ถึง 0.5% เป็น 2.5-3.0% ในปี 2563 ดังนั้นผู้ประกอบการไทยก็ควรตื่นตัวหาโอกาสที่จะเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ เพื่อสร้างโอกาสด้านการค้าและการลงทุนต่อไปในอนาคต