ปี 2562 ถือเป็นทองของ ทุเรียนไทย ที่ทางนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ประเมินว่ามีราคาสูงถึง 5 เท่าของต้นทุน เนื่องจากตลาดต่างประเทศต้องการสูง โดย จีน และเวียดนาม ที่นิยมบริโภคทุเรียนไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้จากปี 2561 ไทยส่งออกทุเรียน 518,882 ตัน เพิ่มขึ้น 3.05% จากปี 2560 ที่มีปริมาณส่งออก 503,536 ล้านบาท มูลค่า 35,333 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.21% จากปีก่อนหน้านั้นที่มีมูลค่าส่งออก 24,846 ล้านบาท ถือว่าประเทศไทยครองแชมป์ผู้ส่งออกทุเรียนมากที่สุดในโลก
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ข้อมูลระบุว่า ปริมาณการส่งออกทุเรียนในปี 2561 จำนวน 518,882 ตัน มีสัดส่วนส่งออกไปยังจีน 41% เวียดนาม 37% ฮ่องกง 17% ของปริมารการส่งออกทั้งหมดที่เหลือไปยังประเทศต่างๆ ส่วนราคาที่เกษตรกรขายได้ในปี 2562 จะใกล้เคียงปี 2561 คือราคาเฉลี่ยจากสวนกิโลกรัมละ 78.16 บาทเพิ่มขึ้นจากปี 2560 สัดส่วน 8.84% เมื่อคำนวนกับต้นทุนแล้วราคาทุเรียนสูงกว่าต้นทุนการผลิต 5 เท่า จากต้นทุนผลิตปี 2561 ที่ 15.10 บาท/ก.ก. ลดลงจากต้นทุนปี 2560 อัตรา 5.12% จากต้นทุนที่ 15.93 บาท/ก.ก.
สำหรับผลผลิตทุเรียนในปี 2562 คาดทั้งปีจะมี 863,732 ตัน เพิ่มขึ้น 17.18% จากปีก่อนที่มีผลผลิต 737,065 ตัน และเพิ่มขึ้น 13.54% จากผลผลิตปี 2560 ที่มี 649,171 ตัน
ก่อนหน้านี้ นายฉันทานนท์ วรรณเขจร รองเลขาธิการ สศก.ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2557 ผลผลิตและราคา ทุเรียนไทย เติบโตขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากไทยมีข้อได้เปรียบคู่แข่ง อาทิ ไทยสามารถส่งทุเรียนสดเข้าจีนได้ โดยเน้นส่งเป็นทุเรียนหมอนทอง ขณะที่มาเลเซียยังส่งออกได้เฉพาะทุเรียนแช่แข็งพันธุ์ มู ชาน คิง (มูซังคิง) มีราคาแพงกว่า กิโลกรัมละ 300-400 บาท
แม้ประเทศไทยจะครองแชมป์ผู้ส่งออกทุเรียนมากที่สุดในโลกก็ตาม แต่อย่าลืมบทเรียนจากข้าว ที่ไทยครองแชมป์ส่งออกมายาวนานกว่า 30 ปี แต่ปัจจุบันไทยกลายเป็นรองจากอินเดีย และเวียดนามไปแล้ว ดุจเดียวกับทุเรียน ที่ทุเรียนหมอนทองเรากำลังบูม
ขณะที่มาเลเซีย ซึ่งกำลังจะเป็นคู่แข่งการส่งออกทุเรียนที่สำคัญกำลังแต่งตัว เพื่อเปลี่ยนโฉมประเทศผู้ผลิตปาล์มน้ำมันมากที่สุดในโลก หันมาให้ความสำคัญกับผลไม้โดยเฉพาะทุเรียนมากขึ้น ถึงขนาดมีการโค่นสวนยางพารา ปาล์มน้ำมัน มาปลูกทุเรียนกันแล้ว
โดยเฉพาะราชาทุเรียนของมาเลเซีย มูซังคิง (Musang King) หรือ เหมา ซาน หวาง ที่รัฐบาลมาเลเซียประกาศตัวเป็นราชาแห่งผลไม้ หรือ King of fruit ทำให้นักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์ว่าในไม่ช้านี้ รัฐบาลมาเลเซียจะเปลี่ยนยุทธศาสตร์ จากประเทศผู้ผลิตปาล์มน้ำมัน สู่การเป็นประเทศผู้ผลิตผลไม้แทน เน้นที่ทุเรียน เนื่องจากราคาและรายได้มากกว่าปาล์มน้ำมันมากถึง 9 เท่าตัว
ปัจจุบันหากตีตัวเลขกลมๆ ที่ไม่ต้องคาดคะเน ไทยผลิตทุเรียนได้กว่า 7.3 แสนตันต่อปี ส่งออกทุเรียนได้มากที่สุดในโลก ขณะที่มาเลเซีย มีผลผลิตแต่ละปี กว่า 3.6 แสนตัน มีตลาดหลักคือสิงคโปร์ แต่ล่าสุดได้มีการลงนามส่งออกไปยังฮ่องกง และจีน โดยเฉพาะจีนมีการส่งออกอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งเป็นทุเรียนแช่แข็ง เนื่องจากมาเลเซียนิยมแกะทุเรียนที่สุกแล้ว
นับตั้งแต่เมื่อปี 2554 ครั้งที่อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย “นายราจิบ ราซัค” ไปเยือนจีนอย่างเป็นทางการและถือโอกาสนี้ได้นำทุเรียนมูซังคิง ไปฝากให้นายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า ของจีน (สมัยนั้น)ด้วย นับจากนั้นมาถือเป็นการเปิดทางให้มาเลเซีย มีโอกาสส่งออกทุเรียนไปเข้าสู่ตลาดจีน ซึ่งปัจจุบันมาเลเซียเองก็มีพันธุ์ทุเรียนหลากหลายกว่า 200 สายพันธุ์ ที่รัฐบาลมาเลเซียกำลังให้ความสำคัญด้านการค้นคว้า วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ เพราะเชื่อว่าจะสามารถสร้างความได้เปรียบให้กับทุเรียนมาเลเซียได้ดีกว่าปัจจุบัน
ที่สำคัญยิ่งไม่ใช่เพียงเฉพาะเพียงมาเลเซียเท่านั้น หากแต่เวียดนาม ก็กำลังเร่งขยายปริมาณการผลิต ทุเรียน เพื่อส่งไปตลาดจีนด้วยเช่นกัน ซึ่งเวียดนามนั้นจะได้เปรียบไทยด้านการขนส่ง เพราะใช้เวลาส่งทุเรียนไปจีนเพียง 18 ชั่วโมง หากเทียบกับไทยที่ใช้เวลา 3-4 วัน
ล่าสุด นายเอกชัย ตั้งจารุกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลเด้นคิง แพลนท์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายต้นกล้าพันธุ์ทุเรียนมาเลเซีย มูซังคิง ในประเทศไทย ไปสำรวจคร่าวๆพื้นที่เพาะปลูกทุเรียนในเวียดนามโซนใต้บริเวณแม่โขงเด้ลต้าตั้งแต่โฮจิมินทห์ ซีติ้ ทางทาง จ.ดองนาย มีธอ เกิ่นทอ ประมาณการว่าราวๆว่ามี 4 หมื่นไร่ ที่สำคัญ
ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์หมอนทองของไทย
สอดคล้องกับข้อมูลของ ดร.วรชาติ ดุลยเสถียร ผู้เชี่ยวชาญการจัดการโซ่อุปทานด้านเกษตร CLMV (กัมพูชา- สปป.ลาว-มาเลเซีย –เมียนมา) และอุปนายกสมาคมคนไทยธุรกิจเกษตร ซึ่งคลุกคลีอยู่ในธุรกิจภาคการเกษตรในประเทศเพื่อนบ้าน ได้วิเคราะห์ถึงสถานการณ์ทุกเรียนในอีก 5 ข้างหน้าว่า ปัจจุบันใครๆก็ปลูกทุเรียนเพราะราคาแพง พุ่งเป้าตลาดหลักที่ประเทศจีนที่มีประชากรจำนวนมาก และนิยมบริโภคทุเรียน ซึ่งอดีตทุเรียนเหล่านี้ล้วนแต่มาจากประเทศไทย โดยเฉพาะในฤดูกาลผลทุเรียนออกสู่ตลาด จะมีการส่งทุเรียนจากไทยไปยังประเทศจีนวันละกว่า 100 ตู้คอนเทนเนอร์ บางช่วงอาจถึง 200 ตู้คอนเทนเนอร์
ที่น่าจับตามองอีกอย่าง ดร.วรชาติ บอกว่า ยุคนี้การปลูกทุเรียนไม่เฉพาะแต่เกษตรกรไทย หากแต่ในเมียนมา ก็ปลูกทุเรียนหมอนทองของไทยเป็นจำนวนมาก ในย่านจังหวัดเหมาะลำไย และบริเวณใกล้เคียงอีก -3-4 จังหวัด เช่นเดียวกับ กัมพูชา เปลี่ยนจากพริกไทยที่กำลังประสบโรคระบาดที่จังหวัดกำปงจาม และอีกหลายจังหวัดก็ปลูกทุเรียน และเวียดนามอีกหนึ่งประเทศที่ใช้พื้นที่ทางตอนใต้ โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดดองนายก็ปลูกทุเรียนจำนวนมาก ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตุว่าทั้ง 3 ประเทศนี้ล้วนแต่ปลูก “หมอนทอง” ของไทย รวมถึงรวมบางส่วนถึงแขวนจำปาสักของ สปป.ลาว ด้วย
อีก 5 ปีไทยอาจเสียตลาดทุเรียนหมอนทอง
ดร.วรชาติ ได้คาดการณืว่า อีก 5 ปีข้างหน้า สถานการณ์ทุเรียนหมอนทองของไทยน่าห่วง เพราะทุเรียนหมอนทอง อาจไม่ใช่ของไทย เพราะจะมาจากประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้และส่งออกไปยังจีน ที่น่ากังวลยิ่งคือทุเรียนหมอนทองที่ปลูกถิ่นอื่น จะมีรสชาติจะเปลียนไปหรือไม่ จะทำลายเอกลักษณ์และอรรถรสของหมอนทองของไทยหรือไม่ ตรงนี้เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะมาเลเซีย ก็หันมาปลูกทุเรียนเช่นกัน บางพื้นทีโค่นสวนยาง โค่นปาล์มน้ำมัน หันปลูกทุเรียนสายพันธุ์ของเขาเองคือมูซังคิง และเริ่มส่งไปยังฮ่องกงและจีนอย่างเป็นทางการกันแล้ว
ฉะนั้นเมื่อประเทศเพื่อนบ้านหันมาปลูกทุเรียนหมอนทองของไทย อนาคตคงไม่เกิน 5 ปีข้างหน้า ทุเรียนหมอนทองที่ส่งออกไปยังตลาดโลก โดยเฉพาะจีนอาจจะไม่ใช่มาจากประเทศไทยอีกต่อไป และหากมีรสชาติที่เปลี่ยนไปจากที่ปลูกในประเทศไทยซึ่งเกษตรกรมีประสบการณ์ในการดูแลเป็นอย่างดี ทำให้รสชาติอร่อย ก็อาจทำลายอรรถรสของความ”หมอนทอง”ของไทยเพี้ยนไป และจะเปิดโอกาสให้”มูซังคิง” ของมาเลเซียที่กำลังฮิตในจีนขณะนี้แซงขึ้นมาได้
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของ สศก.มองถึงอนาคตของทุเรียนไทยว่า ถึงเวลาเกษตรกรชาวสวนทุเรียน ควรเน้นผลิตทุเรียน เพื่อให้ได้คุณภาพที่ดีมากกว่า การเน้นในเรื่องของปริมาณ เพื่อรองรับการแข่งขันของคู่ค้าในอนาคต จากปัจจุบันไทยเน้นส่งออก ทุเรียนหมอนทอง ควรเพิ่มสายพันธุ์ทุเรียนให้มีความหลากหลาย อาทิ ก้านยาว ชะนี พวงมณี เพื่อกระจายความเสี่ยง ยกระดับการขายเป็นขายทุเรียนพรีเมียม และเพิ่มรูปแบบการแปรรูปทุเรียนเพื่อเพิ่มมูลค่า เช่น ทุเรียนอบกรอบ ทำทุเรียน freeze dried เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่ไม่ชอบกลิ่นทุเรียน และเน้นตลาดในประเทศมากขึ้นนั่นเอง