ปัจจุบันอุตสาหกรรมกลุ่มธุรกิจแฟชั่นโลกในรูปแบบ “Sustainable Fashion” หรือการสร้างสรรค์เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย ที่เน้นไปสู่การเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ไม่ว่าจะแบรนด์เล็ก แบรนด์ใหญ่ ต่างหันมาให้ความสำคัญกับกระแสรักษ์โลกกันอย่างถ้วนหน้า ทำให้เกิดความฮอตฮิตติดลมบน ติดเทรนด์ กลายเป็นกระแสด้านบวกไปทั่วโลก
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ประเทศไทยธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์จากกระแสดังกล่าวมีหลากหลายประเภท โดยหนึ่งในนั้น
คือ “การผลิตรองเท้าทุเรียน” ที่ต้องบอกว่ามีความคิดแปลกแหวกแนวแฟชั่นสมัยใหม่
ไม่ธรรมดาเลย เพราะนี่คือ เส้นใยผ้าที่ผลิตมาจาก “ทุเรียน” โดยกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเศรษฐกิจแนวคิดใหม่ในอาเซียน
ต.ไผ่ อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ
เมื่อได้ยินแล้วผู้ที่ชื่นชอบทานผลไม้ทุเรียน ราชินีแห่งผลไม้ไทย เป็นชีวิตจิตใจอาจจะรู้สึกหิวอยากทานขึ้นมาทันที แต่ขอเบรกความคิดนั้นไว้ก่อน เนื่องจากกรรมวิธีการผลิตรองเท้าไม่ได้มาจากผลไม้แต่อย่างใด แต่มาจากเปลือกทุเรียนที่ถูกทิ้งเป็นของเหลือใช้ที่ไร้ประโยชน์
คุณจำเนียร นนทะวงษ์ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเศรษฐกิจแนวคิดใหม่ในอาเซียน บอกถึงที่มาของรองเท้าเปลือกทุเรียนหนึ่งเดียวของไทยว่า หลังได้อบรมการทำรองเท้าจนมีองค์ความรู้ จึงรวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชนทำธุรกิจลักษณ์ SMEs นำสมาชิกออกไปเก็บเปลือกทุเรียนตามแผงร้านขายผลไม้ทั่วไป ที่พ่อค้าแม่ค้าทิ้งเป็นของเหลือใช้ที่ไร้ประโยชน์ ตลอดทั้งไปขอเก็บตามงานต่างๆ ของจังหวัดศรีสะเกษและใกล้เคียง ถือเป็นการแบ่งเบาภาระอย่างดีให้กับเทศบาล และแผงขายทุเรียน ซึ่งสร้างความพอใจให้กับพ่อค้าแม่ค้าที่มีคนมาเก็บให้ไม่ต้องเป็นภาระเก็บเป็นขยะ
แปรรูปเพิ่มมูลค่า“เปลือกทุเรียน”
ปัจจุบันเกษตรกรศรีสะเกษปลูกสวนทุเรียนมากกว่า
4 หมื่นไร่ กลายเป็นแหล่งปลูกพืชเศรษฐกิจรายใหญ่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ(อีสาน)
แต่ละปีเปลือกทุเรียนกลับถูกทิ้งถูกขว้างกลายเป็นสิ่งของเหลือใช้ที่ไร้ประโยชน์ไม่ต่ำปีละกว่า
5,000 ตัน ทำให้เมื่อปี 2560 หรือ 3 ปีที่แล้ว
คุณจำเนียร เลยมองหาช่องทางว่าน่าจะนำสิ่งไร้ค่ามาทำประโยชน์อะไรได้บ้าง หรือสร้างมูลค่าเพิ่มทางการตลาดได้อย่างไร
ประจวบเหมาะเคยเห็นต่างประเทศผลิตรองเท้าไม้ก๊อกแบรนด์ชื่อดังระดับโลกขายดิบขายดี
จึงคิดว่าเมืองไทยน่าจะทำรองเท้าเหมือนต่างประเทศได้บ้าง จึงมีแนวคิดอยากผลิตรองเท้าเปลือกทุเรียนสัญชาติไทยขึ้นมา
เพราะจากค้นหาข้อมูลพบว่าเส้นใยจากเปลือกทุเรียนให้ความนุ่มนวล
จึงไปปรึกษากับแผนกเทคโนโลยียางและพอลิเมอร์ วิทยาลัยเทคนิคศรีสะเกษ เพื่อทำการทดลองและพัฒนารูปแบบการผลิต
ปรากฏว่าใช้ได้เป็นอย่างดี จากนั้นยื่นจดสิทธิบัตรทางภูมิปัญญาพร้อมเดินหน้าผลิตรองเท้าเปลือกทุเรียนออกมาสู่ท้องตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าชุมชน
ออกบูธตามตลาดนัด หน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่จัดขึ้นในภาคอีสาน
กระแสตอบรับดีเกินคาดจนได้รับความนิยมอย่างสูงในขณะนี้
“วัตถุดิบเปลือกทุเรียนส่วนใหญ่หามาได้ตามท้องตลาด
ร้านขายผลไม้ทั่วเมืองศรีสะเกษ จากเดิมผู้คนมองเปลือกทุเรียนเป็นขยะไร้ค่า แต่ผมมองตรงข้ามกองขยะเปลือกทุเรียนมหึมา
คือขุมทรัพย์อันมีค่าจึงติดต่อกับร้านขายผลไม้ต่างๆ ขออย่าทิ้งเปลือกทุเรียน
หลังจากปลอกเมล็ดทุเรียนขายแล้ว ขออย่าทิ้งเก็บไว้จะนำรถมาบรรทุกเองซึ่งร้านค้าต่างๆ
ก็ไม่ปฏิเสธยินดีมอบให้ เพราะอย่างน้อยไม่ต้องรับผิดชอบในการขนเปลือกทุเรียนไปทิ้งเอง”
คุณจำเนียร บอกต่อว่า ส่วนวิธีการทำรองเท้าเปลือกทุเรียนนั้นนำเปลือกทุเรียนมาหั่นให้เป็นชิ้นเล็กลง
ตากแห้งทิ้งไว้ 3 แดด จากนั้นนำมาตีในเครื่องจักรให้เป็นเส้นใย โดยเปลือกทุเรียน 1
ลูก จะได้รองเท้า 1 คู่
ส่วนขั้นต่อมานำเส้นใยที่ได้ผสมกับยางพารา
พร้อมกับใส่แคลเซียม เพื่อเป็นตัวยึดจับระหว่างเปลือกทุเรียนกับยางพารา
ขั้นตอนต่อไปก็นำมาขึ้นรูปกับแม่แบบ ทิ้งไว้ 2 วัน ให้จับตัวกันสนิท
แล้วติดหนังแท้บริเวณเท้าสัมผัส
เมื่อได้แผ่นรองเท้าแล้ว จะกระจายให้เครือข่าย กลุ่มแม่บ้าน วิสาหกิจชุมชนผลิตผ้าทอมือทั่วภาคอีสาน นำผ้าลวดลายต่างๆ มาเย็บประกอบเป็นหูที่สวมเท้า ภายใต้แบรนด์ KMY ที่ใส่แล้วเบา สบายเท้า นุ่ม และกลิ่นหอมอ่อนๆ ไม่ฉุนเกินไป แต่ละคู่ลูกค้าสามารถใช้สวมใส่ได้นาน 1-2 ปี ส่วนคุณประโยชน์ต่างๆ ไม่ได้ต่างจากรองเท้าไม้ก๊อกราคาแพงของเมืองนอก โดยราคาคู่ละ 250 บาท ซึ่งแต่ละเดือนสามารถสร้างรายได้เข้ากลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯมากกว่า 2 แสนบาท
ขยายกำลังผลิตรองรับออเดอร์พุ่ง
ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ คุณจำเนียร บอกว่า
จะเพิ่มไลน์การผลิตรองเท้าเปลือกทุเรียนเป็น 100 เท่า หรือตั้งเป้าผลิตวันละ1
พันคู่จากเดิมผลิตได้วันละ 100-250 คู่ซึ่งเป็นแฮนด์เมดของสมาชิกที่มีอยู่ทั้งหมด
41 คน ทำให้ขบวนการผลิตสินค้าไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด
ทำให้ต้องลงทุนได้ซื้อเครื่องจักรกลมาทดแทนกำลังคน และผลิตสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ
โดยในตลาดต่างประเทศมีตัวแทนจำหน่ายออเดอร์สินค้าเข้ามาแล้ว
5-6 ราย เพื่อเป็นตัวแทนส่งไปจำหน่ายตลาดเมืองนอก
ซึ่งกลุ่มตัวแทนจำหน่ายต้องการนำสินค้าไปขายต่างประเทศ เพราะชื่นชอบและมั่นใจว่าเจาะตลาดได้แน่นอน
เพราะแบรนด์สินค้าผลิตได้มาตรฐานสากล หลังจากเดินทางมาดูขบวนการผลิตในช่วงที่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯรวมกลุ่มทำรองเท้าเปลือกทุเรียนแบบเฮนด์เมด
ตลอดทั้งนำต้นแบบไปให้ลูกค้าดูและทดลองใช้ต่างก็ชื่นชอบ บางเบา กลิ่นหอม
ถนอมสุขภาพเท้า
อย่างไรก็ตามในส่วนตลาดในประเทศ นอกจากสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯตระเวนออกบูธขายตามสถานที่ต่างๆ แล้ว ยังมีตัวแทนจำหน่ายจากทั่วประเทศต้องการตัวแทนจำหน่ายอีกหลายราย โดยตอนนี้ได้มีคำสั่งซื้อเข้ามาเป็นระยะ เพื่อนำไปขายผ่านออนไลน์และออฟไลน์ ทำให้คุณจำเนียรมองเห็นอนาคตตลาดรองเท้าเปลือกทุเรียนไปได้สวยแน่นอน เนื่องจากเป็นแบรนด์ไทยหนึ่งเดียวในโลก และไม่มีใครลอกเลียนแบบได้เพราะได้จดสิทธิบัตรภูมิปัญญาทางการค้าแล้ว
ต่อยอดผลิต รองเท้า-ชามข้าว-ซ้อน ชานอ้อย
ชานอ้อยที่ถูกทิ้งเกลื่อน คุณจำเนียรมองว่าเป็นขยะมีค่าที่มองข้ามไม่ได้
สามารถนำมาแปรรูปได้หลากหลายประเภท เพราะมีเส้นใยนุ่มนวลไม่แพ้เปลือกทุเรียน
โดยกลางปีนี้คุณจำเนียรวางแผนเดินเครื่องผลิตรองเท้ากลิ่นอ้อย
ตามด้วยภาชนะรักษ์โลกชาม จาน และช้อนส้อม เพื่อตอบสนองกลุ่มผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและกำลังเป็นเทรนด์ฮิตในกลุ่มผู้บริโภคชาวไทยสังคมยุคใหม่ตามกระแสโลก
หลังจากรัฐบาลรณรงค์ลดการใช้ถุงหิ้วและภาชนะพลาสติก
ปรากฏว่าตลาดนี้กระแสตอบรับมาแรงมาก มีกลุ่มลูกค้าและตัวแทนจำหน่าย อยากให้ทางกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ
ผลิตภาชนะเป็นกลิ่นทุเรียนออกสู่งท้องตลาด ซึ่งทางกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเสนอไปว่าผลิตภาชนะเป็นกลิ่นอ้อยน่าจะดีกว่า
เพราะกลิ่นของอ้อยจะออกแนวหอมหวานช่วยเจริญอาหารอีกทางหนึ่ง ซึ่งลูกค้าและตัวแทนจำหน่ายเห็นดีด้วย
และไม่เพียงแค่นี้ยังมีแผนผลิตภาชนะอาหารหลากหลายกลิ่น ลอกเลียนธรรมชาติป้อนตลาดไทยและตลาดโลก
กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเศรษฐกิจแนวคิดใหม่ในอาเซียนจ.ศรีสะเกษ ถือว่าเป็นต้นแบบชุมชนและผู้ประการธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง(SMEs)ไทยที่สามารถสร้าง ”เอกลักษณ์แบรนด์”ที่แข็งแกร่ง เป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจที่จะสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งทางการตลาด ที่ให้น่าจดจำเหมือนแบรนด์ดังระดับโลก