ทันทีที่ศูนย์กระจายสินค้าของ ‘อาลีบาบา
กรุ๊ป (Alibaba Group)’ ตัดสินใจทุ่มเงินมูลค่ากว่า 1.1
หมื่นล้านบาท ลงทุนจัดตั้งศูนย์ดิจิทัลอัจฉริยะ (Smart Digital Hub) ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) พร้อมจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าเพื่อเป็นช่องทางในการจัดเก็บและกระจายสินค้าจากแพลตฟอร์ม
Lazada และ AliExpress เท่ากับว่าอนาคตของพ่อค้าคนกลางที่สั่งสินค้ามาจากจีน
เพื่อขายต่อในไทยและการค้าแบบพรีออเดอร์จากจีนก็ถึงกาลอวสานในทันที
เพราะด้วยเงื่อนไขเวลาที่แต่เดิม
สั่งสินค้าจากจีนจากผู้ผลิตโดยตรงอาจใช้เวลาดำเนินการจนถึงมือผู้รับไม่ต่ำกว่า 14
วัน ในขณะที่ปัจจุบันอาลีบาบามีสินค้าสต๊อกไว้ที่ศูนย์กระจายสินค้า สามารถย่นเวลาจัดส่งเหลือแค่
3 วันเท่านั้น
จากประเด็นนี้ย่อมกระทบผู้ค้าออนไลน์ในส่วนใหญ่ด้วยเช่นกัน
เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าสินค้ากว่าร้อยละ 80 ทั้งใน Lazada และ AliExpress เป็นสินค้าจีน
ทั้งราคาถูกกว่าสินค้าประเภทเดียวกันที่ผลิตหรือจำหน่ายในประเทศไทย เกิดเป็นสงครามราคา
แถมสั่งสินค้าราคาไม่เกิน 1,500
บาทจากต่างประเทศได้รับการยกเว้นภาษี
เห็นชัดว่าหมดยุคนายหน้าและประเภทซื้อมา (ถูก) ขายไป (แพง) ซึ่งมองในแง่หนึ่งอาจเป็นผลดีต่อผู้บริโภคส่วนใหญ่ ขณะที่ในมุมผู้ค้าออนไลน์และ SMEs ไทย หากจะแข่งขันก็ต้องไม่แข่งในกติกาที่สู้เขาไม่ได้
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
คำถามคือเราสามารถสร้างเกมของเราเอง และกติกาของเราเองด้วยได้อย่างไร
1. สร้างเกมใหม่จากสินค้าแบรนด์เราเอง : คือนอกจากมีสินค้า
ซึ่งต้องเป็นสินค้าที่แตกต่างจากท้องตลาด ไม่ใช่ของโหลๆ ที่ผลิตขึ้นจำนวนมากๆ เป็นของดีมีคุณค่าในตัวเองและต้องมีแบรนด์
นี่คือการสร้างมูลค่าเพิ่มจากสิ่งที่มีซึ่งเป็นกติกาสากลที่ตลาดทั่วไปยอมรับ
2. ขายออนไลน์ควบคู่ออฟไลน์ : ปัจจุบันคนซื้อออนไลน์แค่
3-4 % เมื่อเทียบกับค้าปลีกทั้งประเทศ
แถมสินค้าบางประเภทลูกค้าต้องการมาดูสินค้าจริงก่อนตัดสินใจซื้อ
(และอาจกลับไปสั่งซื้อทางออนไลน์) คือแค่อยากเห็น อยากลอง ก่อนตัดสินใจ
แต่ยังต้องการซื้อผ่านออนไลน์ด้วยเงื่อนไขต่างๆ กัน อาทิ ไม่อยากถือของ
ไม่ได้ขับรถมา หรือรีบเร่งมีธุระต้องไปทำต่อ ด้วยเหตุนี้การมีหน้าร้านจึงเป็นอีกเสน่ห์ที่สามารถมัดใจลูกค้าในการบริการได้ด้วย
3. คิดบุกตลาดจีนบ้าง : แน่นอนว่าย่อมไม่สามารถเอามะพร้าวห้าวไปขายให้ชาวสวนที่จีน
เป็นที่รู้กันว่า ‘นักช้อปปิ้งชาวจีน’
จะให้น้ำหนักกับคำว่า ‘ของแท้’
อยู่เหนือปัจจัยด้านราคา และระยะเวลาขนส่งเวลาซื้อสินค้าออนไลน์จากต่างประเทศ
ดังนั้นของไทยแท้ๆ ขายโดยคนไทยแท้เช่นกัน ย่อมไม่ผิดกติกาและเงื่อนไข ที่สำคัญคนจีนนิยมสินค้าไทยหลายประเภท
อาทิสินค้าเกี่ยวกับความสวย ความงาม สินค้าสุขภาพ ผลิตจากธรรมชาติ อาหารเสริม
แม่และเด็ก สินค้าสปา เช่น ลูกประคบ สินค้าพื้นเมือง หัตถกรรมท้องถิ่น
คือของที่ไม่มีในจีนและไม่ใช่ของโหลๆ ทั่วไปคนจีนจะชอบ ตรงนี้เป็นสิ่งที่ผู้ค้าออนไลน์ที่จะเจาะตลาดจีนต้องรู้
คือคนจีนเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้าต่างประเทศว่า ‘ดีกว่าสินค้าในประเทศ’
และการบริโภคสินค้านำเข้าเป็นการสะท้อนคุณภาพชีวิตที่ดีของพวกเขา
4. ใช้การค้าออนไลน์ข้ามแดน (Cross-Border e-Commerce -CBEC) : นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่คนจีนใช้ประกอบการตัดสินใจ
คือเลือกแพลตฟอร์มที่ใช่บ่อยในจีน อาทิ Taobao และ Tmall ซึ่งนักช็อปปิ้งเหล่านี้ตัดสินใจจากการรีวิวของผู้ใช้งาน
เพื่อนแนะนำบอกต่อ รวมถึงความน่าเชื่อถือของผู้ค้า ดังนั้นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักช้อปปิ้งชาวจีน ในการซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์ม
CBEC มีอยู่หลายวิธี อาทิการพัฒนาระบบ Traceability หรือการสืบค้นย้อนกลับเพื่อรับประกันความแท้ของสินค้า
ให้เขามั่นใจว่าเคลมได้ ทั้งการเปิดเผยแหล่งสินค้าและกระบวนการตรวจ/ทดสอบสินค้า
การแสดงเอกสารต่างๆ เพื่อสร้างน้ำหนักความน่าเชื่อถือให้กับร้านค้าออนไลน์ของตน
เช่น หนังสือมอบอำนาจ/แต่งตั้งตัวแทนจากแบรนด์ผู้ผลิต ใบอนุญาตประกอบกิจการ
การติดตามสถานะสินค้าในกระบวนการขนส่ง
การรับประกันและให้คำมั่นสัญญาในการชดเชยกรณีสินค้าปลอม
5. พัฒนามาตรฐานการจัดส่งสินค้า : ผู้บริโภคชาวจีนค่อนข้างคาดหวังกับบริการที่สะดวกและรวดเร็ว
การที่สินค้าถึงมือรวดเร็วทันใจเป็นหนึ่งในประสบการณ์การช้อปปิ้งที่น่าประทับใจของลูกค้าหลายๆ
คน และเป็นโจทย์ให้ผู้ค้าได้ขบคิดว่าเราจะเลือกโมเดล CBEC แบบไหนที่ตอบโจทย์กับตัวสินค้าและกลุ่มลูกค้าเราได้มากที่สุด เพราะช่องทางการตลาดในธุรกิจ CBEC แต่ละแบบมีข้อดี/ข้อด้อยที่แตกต่างกัน
ตัวอย่างเช่น การสต็อกสินค้าไว้ที่คลังสินค้าทัณฑ์บนในจีน
(Bonded Warehouse: BW) เป็นโมเดล B2B2C ที่มีต้นทุนการขนส่งต่ำ
การจัดส่งสินค้าถึงมือลูกค้ามีความรวดเร็วภายใน 3-7 วัน
สินค้าถึงมือผู้บริโภคมีราคาถูกเพราะได้รับการยกเว้น/ลดภาษี
แต่ผู้ประกอบการต้องรับภาระในกรณีสินค้าหมดอายุและคลังสินค้ามี Positive
List ซึ่งเหมาะสำหรับสินค้าแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักในวงกว้างและสินค้าที่ฮิตติดตลาดแล้ว
หรือจะใช้การส่งตรงจากต่างประเทศ เป็นโมเดล B2C ทั้งการแยกส่งเป็นชิ้นๆ แบบพัสดุไปรษณีย์ และใช้โกดังในประเทศต้นทางเพื่อรวมส่งทีเดียว ซึ่งลูกค้าต้องรอสินค้านานหลายสัปดาห์และต้องเสียภาษีจิปาถะ ทำให้มีสินค้ามีราคาแพงกว่าแบบสต็อกที่คลังสินค้าทัณฑ์บนในจีน การบริหารจัดการคลังสินค้าในต่างประเทศอาจมีต้นทุนสูงกว่า จึงเหมาะสำหรับการค้าปริมาณไม่มาก ธุรกิจที่กำลังเริ่มต้นหรือต้องการนำสินค้าเพื่อทดลองตลาด
วิธีที่หยิบยกมาเหล่านี้
เอสเอ็มอีสามารถนำมาใช้เพื่อสร้างการแข่งขันในตลาดของตัวเอง ทั้งในประเทศ
และการบุกตลาดต่างประเทศ ด้วยการค้าออนไลน์พรมข้ามแดน หรือ Cross-Border e-Commerce ผ่านแพลตฟอร์มจีนยอดนิยมอย่าง Taobao และ Tmall เพื่อรุกตลาดจีนบ้าง
ที่สำคัญการสร้างประสบการณ์การซื้อที่ดี
ทำให้นักช้อปปิ้งหน้าเดิมๆ
ของคุณกลับมาซื้อหรือใช้บริการซ้ำและสร้างประโยชน์ให้กับคุณอีกมากมาย
เพราะลูกค้าเหล่านั้นจะบอกต่อเพื่อนๆ อีกหลายทอดให้มาเป็นลูกค้าของคุณ
ขณะเดียวกันแม้จะไปต่างประเทศ แต่ตลาดในประเทศและหน้าร้านก็อย่าทิ้ง ต้องใช้การทำตลาดควบคู่กัน จึงจะหนุนเสริมให้ธุรกิจคุณมีความมั่นคงและชนะในสมรภูมิอีคอมเมิร์ซ