จากรายงานผลสำรวจ 'E-Commerce &
SMEs Uncovering Thailand's Hidden Assets' โดย Sea (Group) ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตชั้นนำใน 7
ตลาดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไต้หวัน อาทิ การีนา (Garena) ช้อปปี้
(Shopee) และแอร์เพย์ (AirPay) เผยเทรนด์จากผลสำรวจอีคอมเมิร์ซแบบเจาะลึกครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย
จากผู้ขายและร้านค้ารายย่อยราว 7,000 ราย บนแพลตฟอร์มช้อปปี้
โดยเป็นการสอบถามถึงประสิทธิผลในการดำเนินงาน
อัตราการเติบโตของธุรกิจ รายได้ของครัวเรือน
และตำแหน่งที่ตั้งของผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) บนช้อปปี้
ซึ่งกระจายอยู่ทั่วประเทศไทย เพื่อประเมินถึงผลกระทบไปจนถึงวิเคราะห์แนวโน้มที่พบหลังจากร้านค้าและผู้ประกอบการรายย่อยหันมาดำเนินธุรกิจบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซมากขึ้น
โดยผลสำรวจแสดงข้อมูลที่น่าสนใจ เช่น
อีคอมเมิร์ซสามารถเพิ่มการเติบโตทางรายได้โดยรวมให้ผู้ขายถึง 133%
โดยเฉลี่ยสำหรับผู้ขายที่มีทั้งช่องทางขายออนไลน์และออฟไลน์ และมากถึง 370%
สำหรับผู้ประกอบการรายย่อยที่ใช้มีช่องทางขายออนไลน์อย่างเต็มที่
(สัดส่วนขายออนไลน์ถึง100%) ผู้ขายถึง 82%
ยังตอบว่าอีคอมเมิร์ซทำให้รายได้ของครัวเรือนโดยรวมสูงขึ้นและมอบช่องทางในการดำเนินธุรกิจที่ยืดหยุ่นมากขึ้น
นอกจากนี้ อีคอมเมิร์ซ ยังช่วย 'เปิดประตู'
ทำให้ผู้ขายสามารถส่งออกสินค้าไปยังตลาดใหม่ได้ง่ายขึ้น โดยผลสำรวจพบว่า
ผู้ขายในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้
ได้รับประโยชน์จากการใช้อีคอมเมิร์ซมากที่สุด
ผลสำรวจดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงศักยภาพของอีคอมเมิร์ซในปัจจุบันสู่การเป็น 'เพื่อนคู่คิดภาคดิจิทัล' สำหรับผู้ขายอย่างเต็มรูปแบบ และเผยให้เห็นถึงบทบาทของอีคอมเมิร์ซที่มีต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยในวงกว้าง เช่นก่อให้เกิด 'การเติบโตแบบทั่วถึง' (Inclusive Growth) เสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันให้แก่ร้านค้าและผู้ประกอบการรายย่อย ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของผู้ขาย ไปจนถึงลดข้อจำกัดด้านที่ตั้งของร้านค้าและผู้ประกอบการรายย่อย
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
อีคอมเมิร์ซไทยยังวัยเยาว์ เทียบค้าปลีกเพียง 2
%
ภาพรวมอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซของประเทศไทย
ในช่วงปี พ.ศ. 2558 ถึง ปีพ.ศ. 2562
มีอัตราการเติบโตถึง 54% โดยยอดมูลค่าสินค้ารวม (Gross
Merchandise Value: GMV) ของอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยมีมูลค่าสูงถึง
5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
และคาดว่าจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ผลักดันให้อุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซเติบโตขึ้นอีก 24%
ภายในปี พ.ศ. 2568 พร้อมยอดมูลค่าสินค้ารวมที่สูงถึง 18
แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากอัตราการขยายตัวอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องแล้ว
ประเทศไทยยังนับว่าเป็นประเทศที่มีกลุ่มชาวดิจิทัลโดยกำเนิด หรือ 'Digital
Native' มากถึง 38
ล้านคน จากประชากรทั้งหมด 68 ล้านคน
อัตราการเข้าถึงสมาร์ทโฟนสูงถึง 71% จำนวนผู้สามารถเข้าถึงบริการทางธนาคาร
(Banked Population) ที่ 78% สูงกว่ากลุ่มประเทศอาเซียน +6
ซึ่งมีเพียง 41% และมี 51%
ของผู้บริโภคชาวไทยซื้อของผ่านแพลตฟอร์มโซเซียลมีเดีย อีกด้วย
อย่างไรก็ตามภาพรวมอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซของประเทศไทย
ยังเปรียบเสมือนอยู่ในช่วงเริ่มต้น
เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอย่างสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งมีสัดส่วนของอีคอมเมิร์ซต่ออุตสาหกรรมค้าปลีกทั้งหมดสูงถึง
30% ในปี พ.ศ. 2561
ประเทศไทยมีสัดส่วนเพียง 2% เท่านั้น
อีคอเมิร์ซ กระจายการเติบโตอย่างทั่วถึง
ดร. สันติธาร เสถียรไทย Group
Chief Economist แห่ง Sea (Group) ระบุว่า
ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีอีคอมเมิร์ซสามารถมีบทบาทสำคัญในการช่วยความเจริญทางเศรษฐกิจสามช่องทางหลักๆ
คือ การเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันให้ SMEs การเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้คนนอกกรุงเทพ
และการเปิดช่องทางคนที่อาจอยู่นอกตลาดแรงงาน เช่น นักเรียน แม่บ้าน ผู้สูงอายุ
มีรายได้เสริม หรือกลุ่มที่เราเรียกว่าเป็น 'Hidden Entrepreneurs'
ทั้งกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยแบบดั้งเดิม (Traditional
SMEs) คือ กลุ่มที่มีร้านค้าออฟไลน์และเข้าสู่ช่องทางออนไลน์ผ่านอีคอมเมิร์ซ
ซึ่งได้มีความเปลี่ยนแปลงใน 3 เรื่อง คือ
1) รายได้ อีคอมเมิร์ซสามารถเพิ่มการเติบโตทางกำไรให้ผู้ขายถึง
133%
สำหรับผู้ประกอบการรายย่อยที่มีทั้งช่องทางขายออนไลน์และออฟไลน์
คิดเป็นค่าเฉลี่ยการเติบโตต่อปีถึง 51%
โดยอัตราการเติบโตทางรายได้มีหลายอัตรา เริ่มตั้งแต่ 93%
สำหรับผู้ประกอบการที่มียอดขายจากช่องทางออนไลน์เพียง 20%
และสูงถึง 369%
สำหรับผู้ประกอบการรายย่อยที่มีช่องทางขายออนไลน์เพียงอย่างเดียว
2) ประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ
ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานได้มากถึง 128%
เพราะผู้ประกอบการรายย่อยสามารถใช้จำนวนแรงงานที่เท่าเดิมหรือน้อยลง
ในการดำเนินงานผ่านอีคอมเมิร์ซ และยังสามารถเพิ่ม 'ประสิทธิภาพ'
หรือ รายได้ต่อลูกจ้างให้มากขึ้นอีกด้วย
เนื่องด้วยภาวะขาดแคลนแรงงานในปัจจุบัน
อีคอมเมิร์ซจึงกลายเป็นหนึ่งเครื่องมือเศรษฐกิจสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
3) อัตราการจ้างงาน ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่า 46% ผู้ประกอบการรายย่อยบนอีคอมเมิร์ซตัดสินใจใช้กำไรที่ได้ในการจ้างงานเป็นอันดับต้นๆ อีกด้วย
รายงานระบุอีกว่า กลุ่มผู้ขายที่อยู่นอกกรุงเทพฯ
อีคอมเมิร์ซสามารถช่วยให้กลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย เข้าถึงตลาดใหม่ๆ
ที่ไม่ได้กำจัดพื้นที่อยู่แค่ตลาดท้องถิ่นที่ผู้ประกอบการรายย่อยนั้นดำเนินการอยู่
เป็นการสร้างโอกาสให้กับผู้ขายในการเข้าถึงกลุ่มตลาดใหม่ (Market
Discovery)
โดยผลสำรวจแสดงให้เห็นว่าก่อนอีคอมเมิร์ซมีเพียง 45%
ของผู้ประกอบการรายย่อยที่สามารถส่งสินค้าออกไปขายนอกต่างจังหวัดตนเอง
หลังการเข้ามาของอีคอมเมิร์ซ เปอร์เซ็นต์ดังกล่าวเพิ่มเป็น 81%
อีคอมเมิร์ซไม่เพียงลดข้อจำกัดทางด้านภูมิศาสตร์ให้กับผู้ขาย
แต่ยังลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและช่วยกระจายรายได้ โดยเฉพาะผู้ขายในภาคเหนือ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ หลังจากเริ่มใช้อีคอมเมิร์ซผู้ประกอบการรายย่อยในภาคเหนือถึง 92% สามารถส่งสินค้าออกนอกภูมิภาคของตนเองได้
จากเดิมมีเพียง 43% เท่านั้น
บทสรุปของรายงานดังกล่าวบ่งชี้ว่าอีคอมเมิร์ซที่มีต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยในวงกว้าง ผ่านการสร้าง 'การเติบโตแบบทั่วถึง' (Inclusive Growth) ทั้งในเชิงรายได้ การจ้างงาน ประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ลดข้อจำกัดด้านที่ตั้งของร้านค้าและผู้ประกอบการรายย่อย สำหรับสามกลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยแบบดั้งเดิม กลุ่มผู้ขายที่อยู่นอกกรุงเทพฯ และ กลุ่ม 'Hidden Entrepreneurs'