Rabobank ธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของเนเธอร์แลนด์ (ในแง่มูลค่าสินทรัพย์) ได้ออกรายงานเมื่อ 19 พฤษภาคม 2563 วิเคราะห์ผลกระทบของการแพร่ระบาดของ COVID-19 ต่อเศรษฐกิจอาเซียนในภาพรวม และผลกระทบต่อธุรกิจการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารของอาเซียน
ซึ่งแม้ชื่อของรายงานจะระบุผลกระทบต่ออาเซียน (How COVID-19 will impact
ASEAN) แต่เนื้อหาของรายงานมุ่งเน้นผลกระทบต่อประเทศสมาชิกอาเซียนเพียง 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์
โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
บนพื้นฐานของผลสำเร็จในการรับมือกับการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่มีความแตกต่างกันในภูมิภาค กลุ่มที่หนึ่ง คือประเทศที่ยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ได้แก่ สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย
และกลุ่มที่สอง คือประเทศที่เริ่มควบคุมการแพร่ระบาดได้
ได้แก่ เวียดนาม ไทย และมาเลเซีย และผลวิเคราะห์ของรายงานอยู่บนสมมติฐานว่า
ทุกประเทศสามารถควบคุมการแพร่ระบาดไว้ได้และระบบสาธารณสุขยังมีศักยภาพที่เพียงพอต่อการรับมือ
(โดยเพ่งเล็งอินโดนีเซียซึ่งอยู่ในฐานะที่สุ่มเสี่ยงและอาจนำมาซึ่งผลการวิเคราะห์ที่แตกต่างออกไป
เนื่องจากอินโดนีเซียมีการตรวจสอบจำนวนผู้ติดเชื้อที่จำกัดและมีจุดอ่อนเรื่องระบบสาธารณสุข หากรัฐบาลอินโดนีเซียใช้มาตรการที่เข้มงวดขึ้นหรือยาวนานขึ้น ระบบเศรษฐกิจของอินโดนีเซียจะได้รับผลกระทบมากกว่าที่บทวิเคราะห์นี้ได้คาดการณ์ไว้
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
แนวโน้มผลกระทบทางเศรษฐกิจ
6 ชาติอาเซียน (ตามรายงาน) จะประสบภาวะเศรษฐกิจถดถอยและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะเป็นไปอย่างช้าๆ
เนื่องจากผลกระทบต่อ 3 ปัจจัยหลัก
ได้แก่
1. การส่งออก ซึ่งสิงคโปร์และเวียดนามจะได้รับผลกระทบมากที่สุด
เนื่องจากเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออก
2. การท่องเที่ยว ฟิลิปปินส์และไทยจะได้รับผลกระทบหนัก
และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะยังคงซบเซาจนกว่าจะมีการพัฒนาวัคซีนได้เป็นผลสําเร็จ
ซึ่งคาดว่าการใช้วัคซีนอย่างเร็วที่สุด จะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2564
3. อุปสงค์ภายในประเทศ ขึ้นอยู่กับความเข้มงวดและระยะเวลาที่นำมาตรการมาบังคับใช้
โดยเวียดนามและฟิลิปปินส์จะได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด
เนื่องจากบังคับใช้มาตรการอย่างเข้มงวด
การคาดการณ์ GDP ในปี 2563
- อินโดนีเซีย คาดว่าตัวเลข GDP จะไม่ติดลบ
เนื่องจากเศรษฐกิจของอินโดนีเซียไม่เปิดกว้างนักและไม่พึ่งพิงการท่องเที่ยวเป็นหลัก
รวมถึงมิได้ใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวด
ประกอบกับอินโดนีเซียนำเข้าน้ำมันจำนวนมาก (ร้อยละ 17 ของการใช้ภายในประเทศ) ด้วยราคาน้ำมันที่ถูกลง จึงลดค่าใช้จ่ายในการนำเข้า
(อย่างไรก็ดีการคาดการณ์ตัวเลข GDP อยู่บนเงื่อนไขที่ว่าสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสได้)
- มาเลเซีย ใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดและเป็นประเทศผู้ส่งออกสินค้ารายใหญ่
โดยเฉพาะน้ำมันซึ่งเป็นสินค้าที่ทำรายได้หลักให้ประเทศ (ประมาณร้อยละ 20 ของรายได้ทั้งหมด) จึงคาดว่า GDP ของมาเลเซียจะติดลบร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับปี 2562
- สิงคโปร์ เป็นประเทศขนาดเล็กและมีระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพาการค้าเป็นสำคัญ
จึงคาดว่าจะส่งผลให้ GDP ของสิงคโปร์ลดลงร้อยละ
7 เมื่อเทียบกับปี 2562
- ไทย ผู้วิเคราะห์ระบุว่าจะเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในอาเซียน
โดยคาดว่า GDP อาจลดลงถึงร้อยละ 8 เนื่องจากระบบเศรษฐกิจของไทยที่เป็นแบบเปิด
พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ และการเมืองที่ยังไม่มีความมั่นคงนัก
อย่างไรก็ดีไทยอาจได้รับผลกระทบเชิงบวกจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
เนื่องจากมีอัตราค่าจ้างและระบบการค้าที่สามารถทดแทนจีนได้
- เวียดนาม ในปีนี้คาดว่า GDP ของเวียดนามจะเติบโตที่ร้อยละ 1 เนื่องจากแม้เวียดนามจะใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวด
แต่เป็นระยะเวลาที่สั้นและสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดไว้ได้แล้ว
และเช่นเดียวกับไทยที่เวียดนามจะได้รับผลกระทบเชิงบวกจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ
กับจีน เนื่องจากมีค่าจ้างและระบบการค้าที่ทดแทนจีนได้
อย่างไรก็ดีเวียดนามได้ดุลการค้าจากสหรัฐฯ
มาระยะหนึ่งแล้ว นับตั้งแต่เกิดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
จึงมีโอกาสที่สหรัฐฯ จะเปลี่ยนแปลงนโยบายทางภาษีต่อเวียดนาม (อนึ่งตัวเลขคาดการณ์ GDP ปี อยู่บนพื้นฐานว่าเวียดนามสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสได้และระบบสาธารณสุขที่ยังรองรับได้
เนื่องจากเวียดนามไม่ได้ตรวจสอบผู้ติดเชื้ออย่างทั่วถึงและมีจุดอ่อนในด้านสาธารณสุข)
- ฟิลิปปินส์ จะได้รับผลกระทบหนักและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะยังคงซบเซาจนกว่าจะมีการพัฒนาวัคซีนได้เป็นผลสําเร็จ
ขณะที่การนำเข้าส่งออกเกิดชะงัก และคาดว่า GDP จะลดลงร้อยละ 8
เช่นเดียวกับไทย
ผู้วิเคราะห์ยังได้คาดการณ์ถึงกรณีที่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสไว้ได้
และต้องขยายมาตรการล็อกดาวน์ออกไปอีก
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างร้ายแรงมากขึ้น โดยจะเกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุน
การลดการลงทุน ความผันผวนของค่าเงิน อัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้น
และอาจนำมาซึ่งการประท้วง/เดินขบวนของประชาชน (โดยเฉพาะในอินโดนีเซียและไทย)
ซึ่งในสถานการณ์เช่นนี้ GDP ของไทยอาจลดลงถึงร้อยละ 16 (อินโดนีเซียอาจลดลงร้อยละ 4 มาเลเซียอาจลดลงร้อยละ 12 ฟิลิปปินส์อาจลดลงร้อยละ 10 สิงคโปร์อาจลดลงร้อยละ 14 และเวียดนามอาจลดลงร้อยละ 5)
ผลกระทบต่อภาคอาหารและอุตสาหกรรมเกษตรของอาเซียน
อุตสาหกรรมอาหารทั่วโลกจะได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรง
เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ กฎเกณฑ์ที่เข้มงวด และความกังวลของผู้บริโภค
ซึ่งส่งผลต่อรายได้ในอุตสาหกรรมอาหารของอาเซียนที่คาดว่าจะลดลงถึงร้อยละ 50 (การสั่งสินค้าทางออนไลน์และการนัดรับสินค้าที่ร้านค้า
ยังไม่เป็นที่นิยมในอาเซียนมากนัก) และแม้ธุรกิจค้าปลีกจะได้รับประโยชน์จากการที่ผู้บริโภคกักตุนอาหารแห้งในช่วงแรกของการใช้มาตรการ
แต่แนวโน้มนี้จะเปลี่ยนแปลงไปเมื่อมีการผ่อนคลายมาตรการแล้ว
และผู้บริโภคจะเน้นสินค้าที่มีราคาเหมาะสม โดยไม่เน้นสินค้า premium สืบเนื่องมาจากผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ได้รับ
- มาตรการของรัฐบาลส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหาร แรงงานต่างด้าวเป็นปัจจัยสนับสนุนหลักในระบบเศรษฐกิจของอาเซียน
โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหาร แต่การออกมาตรการของรัฐบาลต่างๆ
ที่เข้มงวดส่งผลให้แรงงานต่างด้าวจำนวนมากเดินทางกลับประเทศของตน
ซึ่งจำนวนแรงงานที่น้อยลงจะส่งผลกระทบต่อการผลิต ห่วงโซ่อุปทาน และการกระจายสินค้า
- พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือการไม่รับประทานอาหารนอกบ้านและการถดถอยทางเศรษฐกิจ
ส่งผลให้ความต้องการสินค้าการเกษตรลดปริมาณลง
- การอ่อนตัวของค่าเงินและมาตรการปกป้องทางการค้า สกุลเงินของอาเซียนมีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการนำเข้าสินค้าอาหารและสินค้าเกษตรของประเทศอาเซียนเพิ่มสูงขึ้น
รวมถึงการออกมาตรการเพื่อปกป้องสินค้าเกษตรจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบการค้า
- ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก จะได้รับผลกระทบที่รุนแรงกว่าธุรกิจขนาดใหญ่
ซึ่งธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กถือเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอาเซียน
โดยมีจำนวนกว่าร้อยละ 90 ก่อให้เกิดอัตราการจ้างงานอยู่ที่ระหว่างร้อยละ 50-97 และแม้ธุรกิจการเกษตรและอาหารจะเป็นสาขาที่มีความสำคัญ และได้รับการเยียวยาจากรัฐบาลในบางส่วน
แต่ก็อาจยังไม่เพียงพอให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้
- ปัจจัยเสี่ยง ผู้วิเคราะห์เห็นว่าอุตสาหกรรมอาหารและเกษตรของอาเซียนอาจได้รับผลกระทบมากขึ้น
หากเกิดปัจจัยเสี่ยง ดังนี้
1) การขยายเวลาการบังคับใช้มาตรการ
2) แม้ระบบการขนส่งยังเปิดให้บริการ
แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยง
เกี่ยวกับการเกิดปัญหาสภาวะคอขวดและกฎเกณฑ์การส่งออกที่เข้มงวด
3) การประท้วงอาจเกิดขึ้นได้
หากสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจและสาธารณสุขเลวร้ายลง
แหล่งที่มา : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก