ส่องแผนบริหารจัดการน้ำ ‘อีอีซี’

SME in Focus
09/04/2020
รับชมแล้วทั้งหมด 4609 คน
ส่องแผนบริหารจัดการน้ำ ‘อีอีซี’
banner

ปัญหาการขาดแคลนน้ำดิบในช่วงฤดูแล้ง (มี.ค.-เม.ย.) เป็นปัญหาที่เรื้อรังของภาคตะวันออกมานาน แม้ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมา การบริหารจัดการน้ำมีเพียงพอต่อความต้องการในปัจจุบัน แต่ในอนาคตยังเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนและน่าวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง เกี่ยวกับต้นทุนน้ำไม่เพียงพอต่อภาคอุตสาหกรรม

เมื่อรัฐบาลเร่งผลักดันโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ดึงดูดกลุ่มนักลงทุนทั่วโลกย้ายฐานการผลิตเข้ามาลงทุนภาคอุตสาหกรรมเป็นจำนวนมาก และแนวโน้มยังจะมีการเคลื่อนย้ายประชากรนับล้านคนเข้ามาอาศัยในพื้นที่อีอีซี ซึ่งกำลังกลายเป็นสิ่งท้าทายรัฐบาลไทยจะต้องวางแผนรับมือปัญหาขาดแคลนน้ำ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต

ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme 


ปัจจุบันความต้องการน้ำในโครงการอีอีซี ทางสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ประเมินว่า ปริมาณน้ำต้นทุนในอีอีซีอยู่ที่ 1,640 ล้านลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.)ต่อปี ซึ่งปริมาณน้ำส่วนหนึ่งผันน้ำมาจากอ่างเก็บน้ำในพื้นที่ 23 แห่ง และจากโครงการผันน้ำอีก 4 โครงการ โดยในจำนวนนี้จัดสรรน้ำเพื่อการใช้ประโยชน์รวมทั้งสิ้น 1,323 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เพื่อภาคการเกษตรประมาณ 31% ที่เหลือเป็นการใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค เพื่อการอุตสาหกรรมและกิจกรรมอื่นๆ

ส่วนการเตรียมน้ำต้นทุนรองรับการพัฒนาอีอีซีในเบื้องต้นระหว่างปี 2560-2570 ทางกรมชลประทานมีการเตรียมการรองรับไว้แล้วจำนวน 16 โครงการ ประกอบด้วยการพัฒนาอ่างเก็บน้ำและปรับปรุงแหล่งน้ำเดิมที่มีอยู่ให้สามารถกักเก็บปริมาณได้มากขึ้น

ตลอดทั้งปรับปรุงและจัดทำระบบเชื่อมโยงแหล่งน้ำ และระบบผันน้ำ ดังนั้นเมื่อโครงการทั้งหมดแล้วเสร็จจะทำให้การบริหารจัดหาน้ำต้นทุนเพิ่มขึ้นรวมทั้งหมด 671 ล้าน ลบ.ม. ทำให้ปริมาณน้ำต้นทุนรวมในอีอีซี ในปี 2570 เพิ่มขึ้นเป็น 2,311 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี หรือจัดสรรได้ 1,823 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี

เช่นเดียวกับการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ก็ได้เตรียมแผนการรองรับปัญหาการขาดแคลนน้ำในภาคอุตสาหกรรมแบบยั่งยืนไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยมีโครงการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำประปาเพื่อป้อนให้กับอีอีซี ที่กำลังดำเนินการอีกอย่างน้อย 5 โครงการ ซึ่งจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตน้ำประปาได้รวมทั้งหมดอีก 432,000 ลบ.ม.ต่อวัน และปริมาณน้ำยังมีเพียงพอสำหรับความต้องการของประชากรที่เพิ่มอีกกว่า 2 ล้านคน

 

ปี 2570 “อีอีซี” ต้องการใช้น้ำ 1,493 ล้าน ลบ.ม./ปี

แม้ว่าอีอีซียังไม่แจ้งเกิดเต็ม 100 % แต่ความต้องการใช้น้ำในอยู่ที่ประมาณ 1,295 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี ส่วนใหญ่มีความต้องการใช้น้ำในภาคอุตสาหกรรมประมาณ 47% เกษตรชลประทานประมาณ 34% และอุปโภคบริโภคประมาณ 19%  โดยคาดว่าความต้องการใช้น้ำปริมาณภายในปี 2570 จะมีความต้องการรวมทั้งสิ้น 1,493 ล้าน ลบ.ม. และปี 2580 จะมีความต้องการปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นเป็น 1,692 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี

อย่างไรก็ตามการประมาณการดังกล่าวได้คำนึงถึงปัจจัยการเพิ่มขึ้นของประชากร นักท่องเที่ยว และความต้องการใช้น้ำในภาคอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มขยายตัวแบบก้าวกระโดด ขณะที่ความต้องการน้ำเพื่อการเกษตรชลประทานค่อนข้างคงที่ ซึ่งพบว่าทุกวันนี้น้ำยังมีเพียงพอต่อความต้องการใช้และยังมีเพียงพอต่อเนื่องไปจนถึงปี 2570 สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำขาดแคลนในอนาคตเพื่อให้อีอีซีมีน้ำเพียงพอระยะยาว จำเป็นต้องเร่งดำเนินมาตรการและแนวทางบริหารจัดการน้ำแต่ละด้านแบบบูรณาการ ทั้งอุปสงค์และอุปทานครบวงจรทุกด้าน

 

เปลี่ยน“น้ำเสีย”เป็น“น้ำดี”คลายวิกฤติน้ำขาดแคลนได้

ถ้าหากพูดถึง “น้ำเสีย”จากภาคอุตสาหกรรมแล้วหลายคนมักถูกสังคมมองเป็นตัวการก่อมลพิษสิ่งแวดล้อม หรือต้นเหตุของการสร้างความเสียหายให้กับแหล่งน้ำธรรมชาติ แต่หากเปลี่ยน “น้ำเสีย” ให้เป็น “น้ำดี” ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง และนำมาหมุนเวียนใช้ใหม่ก็ไม่มีวันหมด อีกทั้งจะกลายเป็นแหล่งน้ำที่สามารถช่วยบรรเทาปัญหาในช่วงวิกฤตขาดแคลนน้ำให้กับพื้นที่อีอีซีได้เช่นกัน ซึ่งเป็นอีกแนวทางหนึ่งในแผนผังการบริหารจัดการน้ำของ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)ที่กำลังดำเนินงานกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำในอนาคต


ทั้งนี้ อีอีซี เป็นหนึ่งในพื้นที่นำร่องของงานวิจัยการพัฒนาระบบการวางแผนบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ ภายใต้แผนงานยุทธศาสตร์เป้าหมายของ สทนช. ทั้งด้านสังคม แผนงานการบริหารจัดการน้ำ โดยโครงการพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ เป็นโครงการวิจัยที่มุ่งเน้นการหามาตรการ หรือแนวทางการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม และรองรับการบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอกับอุตสาหกรรมในอนาคต หลังจากอีอีซีเกิดขึ้นเต็มตัว หรือแผนกอื่นๆ ในเชิงพื้นที่ที่จะเติบโตขึ้นตามนโยบายของภาครัฐ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ หรือลดปริมาณการใช้น้ำในภาคอุตสาหกรรมให้ได้อย่างน้อย 15%

การลดการปริมาณใช้น้ำลง 15% ในภาคอุตสาหกรรมนั้น ยังหมายถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำขึ้นอย่างน้อย 15% แม้ปัจจุบันในภาคอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะมีการนำระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน 3 R (Reuse, Reduce and Recycle ที่นำเข้ามาประยุกต์ใช้ในการบำบัดน้ำเสียให้เป็นน้ำดี แต่จะทำอย่างไรให้เป็น “ระบบจัดการน้ำอัจฉริยะ” ซึ่งเป็นใหญ่ที่ สทนช. กำลังเร่งดำเนินการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางหรือโมเดลที่จะลดการใช้น้ำหรือเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ และสามารถขยายผลไปยังภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ในอีอีซีต่อไป

ดังนั้นแผนผังระบบบริหารจัดการน้ำอีอีซี เป็นส่วนหนึ่งของแผนผังการใช้ประโยชน์ในที่ดิน, แผนผังการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และระบบสาธารณูปโภคในพื้นที่อีอีซี เพื่อวางแนวทางการใช้พื้นที่รองรับการพัฒนาการบริการตามความต้องการใช้น้ำอย่างทั่วถึงมีประสิทธิภาพสูงสุด เพียงพอและได้มาตรฐานสากล

อนึ่ง "น้ำ" เป็นปัจจัยสำคัญต่อภาคอุตสาหกรรม และที่ผ่านมามีการแก้ไขข้อจำจัดของจังหวัดอีอีซีที่มีน้ำใช้ในภาคอุตสาหกรรมไม่เพียงพอ เป็น Pain Point เดิมๆ สู่การจัดการในรูปแบบใหม่ อาทิเช่น ธุรกิจการสนับสนุนด้านน้ำใช้ในภาคอุตสาหกรรม การจัดการน้ำเสีย เทคโนโลยีด้านการจัดการน้ำ ซึ่งผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสามารถนำไปต่อยอดจากเรื่องนี้ได้



สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<<


“ฮ่องกง” แตกไลน์แห่ลงทุน“อีอีซี” 

500 บริษัทญี่ปุ่นลุยลงทุน EEC


Bangkok Bank SMEเราเป็นเพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ทุกช่วงการเติบโตของธุรกิจ
สนใจลงทุนธุรกิจสามารถปรึกษาธนาคารกรุงเทพคลิกหรือสายด่วน1333


Related Article

ถอดบทเรียนแนวคิดต่างของ “เวิลด์กรีน พลัส” พลิกภาระสู่โอกาส เปลี่ยนของเสียให้เป็นมูลค่า

ถอดบทเรียนแนวคิดต่างของ “เวิลด์กรีน พลัส” พลิกภาระสู่โอกาส เปลี่ยนของเสียให้เป็นมูลค่า

ในขณะที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกับวิกฤตขยะอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บวกกับแรงกดดันจากมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด การดำเนินธุรกิจในยุคที่…
pin
5 | 28/02/2025
แพทย์หญิงนักปรุงจาก “อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย” ชวน ไขความลับของผู้ผลิต Food Ingredients ผู้ช่วยตัวจริงของ อุตสาหกรรมอาหาร

แพทย์หญิงนักปรุงจาก “อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย” ชวน ไขความลับของผู้ผลิต Food Ingredients ผู้ช่วยตัวจริงของ อุตสาหกรรมอาหาร

ปัจจัยสำคัญที่ร้านอาหารชื่อดัง ซึ่งมีสาขาทั่วประเทศต้องให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ ประกอบด้วยหลายด้านด้วยกัน ทั้งในเรื่องของความสะอาด การบริการที่ได้มาตรฐาน…
pin
7 | 25/02/2025
จาก YouTuber ช่องดัง สู่การสร้างแบรนด์ชานมไข่มุก BEARHOUSE และ SUNSU เจาะกลุ่มวัยรุ่น-วัยทำงานที่อยากใส่ใจสุขภาพ และยังรักการกินขนม

จาก YouTuber ช่องดัง สู่การสร้างแบรนด์ชานมไข่มุก BEARHOUSE และ SUNSU เจาะกลุ่มวัยรุ่น-วัยทำงานที่อยากใส่ใจสุขภาพ และยังรักการกินขนม

จาก YouTuber ที่เคยรีวิวของเล่นจนสร้างชื่อเสียงและมีผู้ติดตามจำนวนมาก สู่การเป็นเจ้าของร้านชานมไข่มุกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คุณปัทมพร ปรีชาวุฒิเดช…
pin
11 | 10/02/2025
ส่องแผนบริหารจัดการน้ำ ‘อีอีซี’