การผลิตสินค้ามากเกินความจำเป็น
เกินความต้องการของตลาดจนกลายเป็นของเหลือทิ้ง
เป็นปัญหาสำคัญที่อุตสาหกรรมเสื้อผ้าต้องเผชิญอยู่ทุกๆ ปี
อุตสาหกรรมเสื้อผ้าจำเป็นที่จะต้องกำหนดบทบาทตัวเองให้มีส่วนร่วมแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม
หรือกระทั่งสร้างจุดขายที่ดึงดูดให้ผู้บริโภคให้ตระหนักถึงเรื่องนี้
ขณะที่ขั้นตอนการผลิตเสื้อผ้านั้นถูกระบุว่า
มีส่วนก่อให้เกิดการปล่อยคาร์บอนจำนวนมหาศาล
ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์จากอุตสาหกรรมสิ่งทอคิดเป็น 10% ของคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งโลก มากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์จากการผลิตเนื้อวัวถึง
50% แต่ละปีอุตสาหกรรมเสื้อผ้าสร้างมลพิษมากเป็นอันดับ 2
รองจากอุตสาหกรรมน้ำมันและทำให้เกิดขยะมากกว่า 10 ล้านตัน/ปี อีกทั้งยังต้องใช้พลังงานอย่างมากเพื่อการกำจัด
นอกจากนี้อุตสาหกรรมเสื้อผ้ายังได้ชื่อว่าส่งผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนโดยตรง ข้อมูลจากสถาบันทรัพยากรโลก (World Resources Institute) ระบุว่า เสื้อที่ทำจากผ้าฝ้าย 1 ตัว ต้องใช้น้ำในการปลูกฝ้ายถึง 2,700 ลิตร ซึ่งปริมาณน้ำปริมาณดังกล่าว เพียงพอให้คน 1 คน ใช้ได้ถึง 2 ปีครึ่ง
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ทั้งนี้มีการประเมินกันว่า
การผลิตสิ่งทอใช้น้ำถึงประมาณ 93 พันล้านลูกบาศก์เมตรต่อปีเลยทีเดียว ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมเสื้อผ้ายังถูกมองด้วยว่า
เป็นอุตสาหกรรมที่ปล่อยน้ำที่มีสารเคมีอันตรายเข้าสู่สิ่งแวดล้อม
มีการประเมินว่ากิจกรรมย้อมสีปล่อยมลพิษทางน้ำราว 20 %
ของอุตสาหกรรมทั่วโลก และปล่อยพลาสติกลงสู่มหาสมุทร
การซักล้างทำความสะอาดได้ปล่อยไมโครไฟเบอร์สู่แหล่งน้ำและทะเล
เป็นไมโครพลาสติกที่ปนเปื้อนเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร
ประมาณกันว่าในแต่ละปีการซักล้างเสื้อผ้าใยสังเคราะห์ เช่น โพลีเอสเตอร์ ไนลอน
หรืออะครีลิก ปล่อยไมโครไฟเบอร์ราว 5 แสนตันลงสู่มหาสมุทรทั่วโลกด้วย
วัชรีพร พัฒนธัญญา ผู้จัดการทั่วไปของ บริษัท Rock The Boat
Co., Ltd บริษัทผู้ผลิตเสื้อผ้าตามแนวคิดแบบ เศรษฐกิจหมุนเวียน
ซึ่งยึดแนวปฏิบัติ 3 R คือ
- Reduce ลดการใช้
- Reuse นำกลับมาใช้ใหม่
- Recycle แปรรูปวัสดุใช้แล้ว ให้กลับมาเป็นวัสดุใหม่
บริษัทเสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่มทั่วโลกต่างตระหนักถึงผลกระทบดังกล่าว
และพยายามหาทางออก นอกจากผลิตสินค้าตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน
แล้วยังสามารถสร้างเทรนด์ใหม่ๆ
จนกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาใช้สินค้าที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
ปัจจุบันวงการเสื้อผ้าได้พัฒนาตัวเอง
โดยหาแนวทางในการจัดการทรัพยากรที่ใช้แล้ว
หมุนเวียนกลับมาใช้ให้เป็นวัสดุใหม่หรือสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่
จนเกิดศัพท์ใหม่ของอุตสาหกรรมนี้ คือ ‘Upcycling’
หรือการแปลงวัสดุที่ไม่มีมูลค่าให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง
การ Upcycling เป็นส่วนหนึ่งของการรีไซเคิล
แต่พยายามข้ามข้อจำกัดของรีไซเคิลซึ่งมักจะทำให้คุณภาพสินค้าด้อยลง
การ Upcycling จึงเป็นการนำวัสดุที่ผ่านการใช้งานกลับมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตใหม่ โดยอาศัยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณภาพดีขึ้น รวมถึงใช้ทั้งวัสดุรีไซเคิลประเภทต่างๆ มาเป็นส่วนประกอบสินค้า เช่น นำพลาสติกใช้แล้วทิ้งมาผลิตเป็นเส้นใยเสื้อผ้า นำเสื้อกันหนาวที่ผลิตจากหนังสัตว์มาประกอบเป็นผลิตภัณฑ์ เครื่องใช้ เช่น กระเป๋า รองเท้า
“มีรายงานว่า 60 %
ของสิ่งทอทั้งหมด ถูกนำไปใช้ผลิตเสื้อผ้า
ขณะที่เสื้อผ้าเก่าซึ่งถูกนำไปรีไซเคิลเป็นเสื้อผ้าใหม่ มีไม่ถึง 1 % ของเสื้อผ้าทั้งหมด ก็ยังถือว่าได้รับความนิยมอยู่ในวงจำกัด
แต่ก็ไม่หยุดพัฒนาตัวเอง ปัจจุบันเสื้อผ้ารีไซเคิลไม่ได้มีความหมายเพียงแค่การนำเสื้อผ้าเก่ามาเย็บใหม่
แต่พัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองขึ้น จนแยกแทบไม่ออกว่าเป็นเสื้อผ้าใหม่หรือรีไซเคิลแล้วด้วยซ้ำไป
” วัชรีพร กล่าวในท้ายสุด
แหล่งที่มา : https://www.thaiquote.org/content/236381