อียูดันใช้ ‘เงินยูโรดิจิทัล’ หาทางป้องกันปฏิวัติการเงิน
แม้ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลอย่างเป็นทางการ
แต่ข้อมูลที่มีก็ทำให้ทราบว่าหน้าตาของ ‘เงินยูโรดิจิทัล’ จะเป็นอย่างไร โดยหัวข้อดังกล่าวเป็นเรื่องที่ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB)
นางคริสติน ลาการ์ด ได้ให้ความสำคัญมาก โดยได้วางแผนไว้ว่าในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้
คณะกรรมาธิการ ECB จะข้ามขั้นตอนไปทดลองใช้จริง
ทำให้คาดการณ์ได้ว่า ในขั้นแรกเงินยูโรดิจิทัลจะถูกส่งออกสู่ตลาดให้กับประชากรยุโรปได้เริ่มใช้ในจำนวนหนึ่งก่อนเพื่อนำไปใช้ทดแทนเงินสดได้ แต่ไม่เป็นการปฏิวัติระบบการเงินแต่อย่างใด ซึ่งเป็นความต้องการของ ECB ที่จะป้องกันไม่ให้เกิดความเสี่ยงขึ้นหากมีการปฏิวัติทางการเงินเกิดขึ้น โดยเงินยูโรจะมีชื่อว่า ‘Digital Euro’ เพื่อที่ ECB จะมีสิทธิในด้านเครื่องหมายการค้า อีกทั้งจะไม่ได้ตั้งอยู่บนระบบ Blockchain หรือเทคนิคที่ Bitcoin กำลังใช้งานอยู่ในปัจจุบัน
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
โดยจะออกมาในรูปแบบตัวเลขบัญชีภายใต้การดูแลของ
ECB
หรือการนำรูปแบบการชำระเงิน เข้าไปสวมในระบบเดิมที่มีอยู่แล้ว
โดยประชากร EU ทุกคนจะสามารถเป็นเจ้าของเงินได้ในระดับหนึ่งใน
Wallet ส่วนตัว เพื่อป้องกันไม่ให้ธนาคารประสบปัญหา
หากมีการโอนย้ายเงินเป็นจำนวนมากพร้อมกัน โดยคาดการณ์ว่าอัตรา Digital Euro
ที่สามารถครอบครองได้ต่อคนสูงสุดอยู่ที่ 3,000 ยูโร โดย Wallet จะสามารถนำไปผูกมัดไว้กับธนาคาร
หรือบริษัทธุรกิจการเงินปกติได้ เมื่อมีเงินใน Wallet เกินจำนวนที่อนุญาตเงินก็จะไหลไปยังบัญชีที่ผูกมัดไว้โดยอัตโนมัติ
ซึ่งคำถามที่น่าสนใจก็คือ
จะสามารถกีดกันให้บุคคลคนหนึ่งไม่ไปทำ Wallet ผูกไว้กับบัญชีต่างธนาคารพร้อมกันได้อย่างไร
โดยหนึ่งในวิธีแก้ปัญหานี้ก็คือบัตรประชาชน EU ที่มีการคุยกันมานานแล้ว
แต่ยังไม่มีการเริ่มนำมาใช้งานอย่างจริงจัง
โดยเป็นไปได้ที่ Digital
Euro จะไม่มีดอกเบี้ยเหมือนกับเงินยูโรแบบปกติที่ไม่มีดอกเบี้ยเช่นกัน
ซึ่งหมายความว่า สามารถป้องกันอัตราดอกเบี้ยติดลบไปในตัวได้อีกด้วย
หรือเรียกได้ว่าเป็นตัวแทนเงินสดได้จริง โดยมีข้อมูลภายในหลุดออกมาให้ทราบ
อย่างที่ประธานธนาคารกลางประเทศอิตาลี นายอิ๊กนาซิโอ วิสโก (Ignazio Visco) ได้ออกมาเสนอในช่วงต้นปีว่า Digital Euro ควรที่จะสามารถใช้งานแบบ
ณ เวลานั้น (Real Time) ในพื้นที่ประเทศกลุ่มเงินยูโร (Euro
Zone) ได้โดยผ่านระบบของ ECB เช่น TIPS
ได้เลย
โดยระบบดังกล่าวที่เริ่มใช้งานมาตั้งแต่ช่วงปี
2018
ก็ทำให้การโอนเงินจากประเทศต่างๆ ภายใน Euro Zone ได้ภายในไม่กี่วินาที โดยธนาคารกลางอิตาลีได้ทดลองกับ ECB เรียบร้อยแล้วหลายครั้ง และเห็นว่า TIPS เป็นเทคนิคที่เหมาะสมกับการนำมาใช้กับ
Digital Euro ในอนาคต โดยข้อวิจารณ์ e-Euro อีกด้านก็คือ การระดมถอนเงิน (Bank Runs) โดยในช่วงวิกฤตอาจจะทำให้ลูกค้าธนาคารถอนเงินจำนวนมากจากธนาคารกลางพร้อมกัน
จนอาจจะทำให้ระบบการเงินมีปัญหาได้
เพื่อที่จะลดปัญหา Bank
Runs ผู้อำนวยการ ECB นาย Ulrich
Bindseil ออกมาแนะนำว่า อาจจะแบ่งระบบ e-Euro เป็น
2 แบบ โดยทำให้ปริมาณเงิน e-Euro ที่มีมากกว่า
3,000 ยูโร ไม่น่าสนใจที่จะฝากเก็บไว้
แต่ควรที่จะให้ดอกเบี้ยกับเงิน e-Euro ต่ำกว่า 3,000 ยูโร ในอัตราเดียวกันกับที่ธนาคารต่างๆ ได้รับจากธนาคารกลาง
แต่ก็จะได้ระบุไว้ว่าจะไม่มีดอกเบี้ยแบบติดลบหรือต่ำที่สุดคือร้อยละ 0 นั่นเอง
สำหรับ e-Euro
ที่มากกว่า 3,000 ยูโร อัตราดอกเบี้ยก็จะต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับเป็นปกติ
จากธนาคารหลัก และเริ่มต้นที่ร้อยละ 0 เช่นกัน
ซึ่งแม้ว่าจะมีการสรุปรูปแบบต่างๆ ในช่วงเดือนสิงหาคม แต่ก็คงจะต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะได้มีการเริ่มใช้
e-Euro โดยคาดการณ์ว่าน่าจะประมาณ 5 ปีข้างหน้า
ซึ่งจนถึงเวลานั้นก็อาจจะยังมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบได้ตลอดเวลาอีกด้วยเช่นกัน
แหล่งอ้างอิง : สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงเบอร์ลิน