อียูเร่ง scale-up ภาคผลิตด้วยการส่งเสริม Circular Economy
สหภาพยุโรป (อียู)
นับเป็นกลุ่มประเทศที่มีการดำเนินการด้านนโยบายด้านการรักษาสภาพแวดล้อมที่มีแนวทางชัดเจนอย่างต่อเนื่อง
เพื่อส่งเสริมธุรกิจให้มีความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อโลก
รวมทั้งการให้ความสำคัญต่อการทำธุรกิจแบบวงกลม
หรือตามแนวคิดการทำธุรกิจแบบหมุนเวียน Circular
Economy อย่างเข้มข้น ซึ่งเมื่อเดือนมีนาคม 2563 อียูได้ออกแผนปฏิบัติด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนฉบับใหม่ของสหภาพยุโรป (Circular
Economy Action Plan (CEAP) โดยเสนอมาตรการเพื่อปรับเปลี่ยนสินค้าในตลาดอียูให้เป็นสินค้าเพื่อความยั่งยืน
และเพิ่มอัตราการใช้วัสดุหมุนเวียนของอียูมุ่งสู่การเป็นเศรษฐกิจสีเขียว
และขณะนี้อียูอยู่ระหว่างจัดทำกฎหมาย 3 เรื่อง ได้แก่
1) การกำหนดมาตรฐานสินค้าเพื่อความยั่งยืน
2) การปรับปรุงกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค
เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนมากขึ้นในการตัดสินใจเลือกใช้สินค้ายั่งยืน
3) การกำหนดมาตรฐานของฉลากสีเขียว เพื่อป้องกันฉลากสีเขียวปลอม
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ทั้งนี้ สถาบัน European Policy Center (EPC) ได้จัดประชุมออนไลน์หัวข้อ
“Innovative solutions for a circular economy” โดยเชิญวิทยากรด้านนโยบายสิ่งแวดล้อมจากภาคส่วนต่างๆ
ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อการเปลี่ยนสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนที่ยั่งยืน
รวมถึงอุปสรรคในการขยายงานวิจัยสู่การผลิตระดับอุตสาหกรรม (scale-up) และสำรวจเครื่องมือในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ยั่งยืนของอียู
โดยมีการแสดงความคิดเห็นดังนี้
นาย William Neale ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนและการพัฒนาสีเขียว
คณะกรรมาธิการยุโรปด้านสิ่งแวดล้อม เน้นย้ำถึงบทบาทของวัตถุดิบ (raw
materials) ในเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ยั่งยืน
ซึ่งทุกภาคส่วนควรร่วมมือกันในการมุ่งพัฒนาให้ทรัพยากรคงอยู่ และ/หรือนำกลับมาใช้ในเศรษฐกิจให้ได้นานที่สุด
โดยเสนอแนวทางปฏิบัติดังนี้
1. การนำข้อมูลทางเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนานโยบายที่เหมาะสม
2. การใช้ข้อมูลในการวิเคราะห์ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
ICT ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการหมุนเวียนสูง อาทิ
การสร้าง ICT data center
3. การใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มมูลค่าขยะ
โดยรักษาคุณสมบัติของทรัพยากรให้คงไว้ เพื่อให้นำมารีไซเคิลได้ ทั้งนี้อียูได้เสนอให้มีการออก
“Digital Product Passports” เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับที่มาของผลิตภัณฑ์
ความคงทน ส่วนประกอบ การซ่อมแซม และข้อมูลสำหรับการรีไซเคิล ซึ่งในชั้นนี้คาดว่าอียูจะประกาศใช้มาตรการนี้ในช่วงไตรมาส
4 ปี 2564
นาง Sirpa Pietikäinen ส.ส.
ยุโรป พรรค EPP กล่าวสนับสนุนแผนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจหมุนเวียนของยุโรป
(EU Circular Economy Action Plan) โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการออกแบบสินค้าเพื่อความยังยืน
อย่างเช่นการเลือกวัตถุดิบที่เหมาะสม ให้สามารถซ่อมแซมและ/หรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้
เป็นต้น
รวมถึงการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจเปลี่ยนจากการผลิตสินค้าเพื่อการจำหน่ายเพียงอย่างเดียว
สู่ธุรกิจที่ให้บริการสินค้าเพิ่มเติม (servitization) อาทิ
บริษัทให้บริการพาเล็ตและบริษัทให้บริการเช่ารถ เพื่อเป็นการรณรงค์ให้ผู้บริโภค
“เช่า” แทนการ “ซื้อ” ลดการสร้างขยะที่ไม่จำเป็น
อีกทั้งยังเสนอให้นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนมากขึ้น
นาย Sveinung Rotevatn รัฐมนตรีกระทรวงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
ประเทศนอร์เวย์ กล่าวว่า นอร์เวย์สนับสนุนนโยบายกรีนดีล
และแผนยุทธศาตร์ด้านอุตสาหกรรมของอียูในการเปลี่ยนสู่เศรษฐกิจ “ดิจิทัลและสีเขียว”
ซึ่งนอร์เวย์ได้เปิดตัวเว็บ “the Explorer” หรือ
เว็บจับคู่ธุรกิจด้านเทคโนโลยีสีเขียว เพื่อให้ภาคส่วนที่สนใจ
สามารถทราบถึงข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจและข้อมูลผู้ติดต่อที่เกี่ยวข้องในประเทศนอร์เวย์ได้โดยตรง
โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสีเขียว มุ่งลดการปล่อยคาร์บอน
และเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศด้านการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน
นาย Tom Eng รองประธานอาวุโส
บริษัท Tomra ได้กล่าวถึงบทบาทของบริษัท Tomra ในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อแก้ปัญหาขยะ
โดยการแยกขยะที่มีศักยภาพมารีไซเคิล อาทิ เครื่องจักรสำหรับการเก็บและคัดแยกขยะ
เครื่องรับซื้อบรรจุภัณฑ์รีไซเคิล หรือเครื่อง RVM (Reverse Vending
Machines) สำหรับการจัดการขยะประเภทขวดพลาสติกและกระป๋องอลูมิเนียมในเครื่องเดียวกัน
และเซ็นเซอร์สำหรับใช้แยกขยะในอุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมรีไซเคิล
และอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ซึ่งนำไปสู่การจัดการขยะที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
และได้ย้ำถึงความสำคัญของการนำข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์
โดยยกตัวอย่างของการนำเทคโนโลยี Deep Learning (DL) ของ AI
มาใช้ในการแยกประเภทของขยะพลาสติก ไม่ว่าจะเป็น PET HDPE PVC
หรือ PP เพื่อให้สามารถนำขยะพลาสติกแต่ละประเภทกลับมาใช้ได้อีก
นาย Nicolas Schäfstoß ที่ปรึกษาด้านนโยบายจากกระทรวงสิ่งแวดล้อม
คุ้มครองธรรมชาติและความปลอดภัยทางปรมาณู (BMU) ประเทศเยอรมนี
กล่าวถึงแผนยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนของอียู
และความจำเป็นในการเปลี่ยนสู่ระบบดิจิทัลเพื่อประโยชน์ของภาครัฐ
โดยการส่งเสริมให้อุตสาหกรรม ICT มีความยั่งยืน อาทิ
การสร้างศูนย์เก็บข้อมูลปลอดคาร์บอน ส่งเสริมการจัดซื้อจัดจ้างสีเขียวของภาครัฐ
และการออก “Digital Product Passports” เพื่อสร้างห่วงโซ่คุณค่าสำหรับสินค้า
ICT ที่ยั่งยืน
ทั้งนี้ที่ประชุมเห็นพ้องว่า
มาตรการลดหย่อนด้านภาษีนั้นเป็นเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนการ scale-up ของธุรกิจเพื่อความยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เนื่องจากการพัฒนาเทคโนโลยีในระยะแรกนั้นต้องใช้เงินทุนสูง
อีกทั้งในบริบทของยุคโควิดที่ทำให้เห็นว่า
อียูต้องการโครงสร้างทางดิจิทัลที่แข็งแรง อาทิ เครือข่ายที่ประสิทธิภาพสูง
และระบบการจัดการขยะจากครัวเรือนที่เพิ่มมากขึ้นช่วงโควิด อาทิ
บรรจุภัณฑ์อาหารที่สั่งกลับบ้าน ซึ่งเป็นความท้าทายที่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนสูง
ดังนั้นการเปลี่ยนสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนจึงต้องการความร่วมมือจากทั้งทางภาครัฐและภาคเอกชน
แหล่งอ้างอิง : Thaieurope.net
สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อ Bualuang
Green<<
อียูออกกฎหมายผลักดันรถยนต์ลดการปล่อยคาร์บอน