สุขภาพกายเสื่อม ยังมีสัญญาณเตือน แต่สุขภาพตานี่สิไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ เลย แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าดวงตาเราจะไม่เป็นอะไร เพราะรู้ได้ก็ต่อเมื่อมีปัญหาแล้ว โรคทางตาบางโรคไม่แสดงอาการให้เห็นจนกว่าจะอยู่ในขั้นที่รุนแรง ซึ่งอาจไม่สามารถรักษาให้เป็นปกติได้ กว่าจะรู้ก็เข้าขั้นสายเกินไป ปัญหานี้จะแก้ไขได้อย่างไร
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
พญ.ปัจฉิมา จันทเรนทร์
จักษุแพทย์ TRSC ศูนย์เลสิคนานาชาติ ระบุว่า การตรวจสุขภาพตาเป็นประจำทุกปีสามารถให้คำตอบได้
ฉะนั้นการตรวจสุขภาพตาจึงมีความสำคัญมาก เพื่อเป็นการเฝ้าระวังโรคทางตาที่อาจจะเกิดขึ้น
หรือวางแผนการรักษาโรคตาบางโรคที่กำลังเป็นอยู่ได้ ซึ่งโรคทางตาที่พบบ่อยมีดังนี้
โรคน้ำวุ้นในตาเสื่อม
ธรรมชาติเมื่อเราอายุมากขึ้น
น้ำวุ้นตาจะเกิดการละลายกลายเป็นน้ำ บางส่วนอาจจับตัวกันเป็นตะกอน
เมื่อแสงส่องผ่านเข้ามาในลูกตากระทบตะกอนนี้จะเกิดเงาบนจอประสาทตา
ทำให้เราเห็นคล้ายมีจุด หรือคล้ายแมลงบินไปมา และขยับได้ตามการกลอกตาของเรา
ซึ่งภาวะนี้มักไม่มีอันตรายหากไม่มีจอประสาทตาฉีกขาด แต่จะเกิดความรำคาญใจได้
จึงควรตรวจตาเพื่อหาดูว่ามีจอประสาทตาฉีกขาดเป็นรูหรือไม่
ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดจอประสาทตาหลุดลอก
โรคจอประสาทตาหลุดลอก
เกิดขึ้นเมื่อจอประสาทตาหลุดลอกออกจากเนื้อเยื่อลูกตา
จึงทำให้จอประสาทตาไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
และหากปล่อยไว้โดยไม่มีการรักษาก็จะส่งผลให้สูญเสียการมองเห็นในที่สุด
อาการนำของโรคนี้ ได้แก่อาการมองเห็นแสงฟ้าแลบคล้ายไฟแฟลชกล้องถ่ายรูป มีสิ่งบดบังในการมองเห็นมองเห็นเหมือนมีอะไรลอยไปมา
มองเห็นเป็นจุดหรือใยแมงมุม, การมองเห็นมีเงาคล้ายผ้าม่านมาปิด
หรือเหมือนน้ำท่วมที่ค่อยๆ สูงขึ้น การมองเห็นเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว
เป็นอาการที่รุนแรง และส่งผลต่อการมองเห็นได้ต้องรีบเข้ารับการรักษา
โรคกระจกตาย้วย หรือกระจกตาโก่ง
เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างภายในกระจกตา
ทำให้กระจกตาบาง และโก่งออก ส่งผลให้การมองเห็นผิดปกติ มีสายตาสั้น สายตาเอียง
ความสามารถในการมองเห็นลดลง โรคนี้มักพบในช่วงผู้ที่อายุน้อย
และเชื่อว่าเกิดจากการขยี้ตา โรคมักจะมีอาการรุนแรงที่สุดในช่วง อายุ 20 - 39 ปี
ในบางรายอาจใช้เวลาหลายสิบปีจึงจะมีอาการรุนแรง
ผู้ป่วยกลุ่มนี้ไม่ควรทำการแก้ไขสายตาด้วยเลเซอร์ เพราะจะทำให้โรคดำเนินมากขึ้น
โรคต้อหิน
เกิดขึ้นกับเส้นประสาทตา
ซึ่งเชื่อมระหว่างดวงตา และสมอง หากความดันภายในตาสูงกว่าระดับที่เส้นประสาทตาสามารถรับได้จะทำให้ใยเส้นประสาทตาถูกทำลาย
และตายไป คนไข้จะมีขอบเขตในการมองเห็นค่อยๆ แคบลง ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษา
ขอบภาพจะค่อยๆ หดเข้ามาจนถึงตรงกลาง และมองไม่เห็นในที่สุด ทำให้ตาบอดได้ ต้อหิน
แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท
- ประเภทมีอาการ หรือต้อหินชนิดมุมปิด
ความดันภายในตาจะสูงขึ้นอย่างเฉียบพลัน ทำให้เกิดอาการปวดตา ตาแดง ตามัว คลื่นไส้
อาเจียน ต้องรีบพบจักษุแพทย์
- ประเภทไม่มีอาการ หรือต้อหินชนิดมุมเปิด
ในช่วงแรกจะไม่มีปัญหาในการมองเห็นเลย เนื่องจากบริเวณที่มองไม่เห็นอยู่บริเวณขอบๆ
ภาพเท่านั้น จึงควรตรวจเช็คสุขภาพตา และได้รับการรักษาตั้งแต่ยังเป็นน้อยๆ
อย่างไรก็ตาม
มีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งที่ยังไม่เป็นต้อหิน แต่มีความเสี่ยงทางพันธุกรรม
หรือลักษณะของลูกตาที่มีแนวโน้มที่จะเกิดเป็นต้อหินได้ในอนาคต
ผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องได้รับการตรวจ ติดตามอย่างต่อเนื่อง
โรคต้อกระจก
เกิดจากเลนส์แก้วตามีความขุ่นมัวเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งพบได้ทั่วไปในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป อาการมักจะมองเห็นได้ไม่ชัดเจนเหมือนปกติ ใส่แว่นช่วยก็ไม่ชัด มีแสงแตกกระจายสูงแสงจ้าๆ ไม่ได้ ความคมชัด หรือความสดใสของสีภาพลดลง โดยอาการเหล่านี้ มักเป็นไปอย่างช้าๆ ใช้เวลาหลายปี
ใครบ้าง ..ที่ควรตรวจสุขภาพตาประจำปี
- ผู้ที่มีภาวะสายตาผิดปกติ
ไม่ว่าจะผ่านการแก้ไขสายตาผิดปกติหรือไม่ก็ตาม ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ
อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
- ผู้ที่อายุต่ำกว่า 40 ปี ควรตรวจสุขภาพตาอย่างน้อย
2 ปีต่อ 1 ครั้ง
ผู้ที่อายุมากกว่า 40 ปี
ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพตาเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
เพื่อเป็นการเฝ้าระวังโรคทางตาที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น โรคต้อหิน โรคต้อกระจก
หรือโรคจอประสาทตาเสื่อม ฯลฯ
- ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคทางตา
- ในเด็กเล็ก ควรตรวจก่อนเข้าโรงเรียน
ดวงตาเป็นอวัยวะที่สำคัญ เพราะใช้งานหนักในทุกๆ
วัน ตั้งแต่ตื่นจนถึงเข้านอน เพื่อให้ดวงตามีสุขภาพที่ดีอยู่กับเราไปอีกนาน
อย่ารอให้มีอาการแล้วค่อยดูแล เพราะอาจจะสายเกินแก้
ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพตากับจักษุแพทย์เป็นประจำ
อ้างอิง : TRSC ศูนย์เลสิคนานาชาติ