ยานยนต์ไฟฟ้า EV หรือ Electric Vehicle เพิ่งจะมาเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายขึ้นเมื่อไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา
และยิ่งถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงไม่กี่ปีมานี้
ส่วนใหญ่คงเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า EV เป็นยานยนต์ที่ใช้ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนแทนเชื้อเพลิงฟอสซิล
จาการที่ทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม
และการใช้พลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
หลายประเทศจึงเริ่มปรับเปลี่ยนนโยบายเพื่อเกื้อหนุนรถยนต์พลังงานไฟฟ้า
ทำให้มีโอกาสเป็นไปได้ที่จะเห็นรถยนต์ไฟฟ้าวิ่งตามท้องถนนในเร็ว
ซึ่งจากข้อมูลของนิสสัน อาเซียน ร่วมมือกับ ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน เผยถึงผลสำรวจเทรนด์ระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าของประเทศไทยประจำปี 2564 พบว่ามีจำนวนร้อยละ 43 ของผู้ใช้รถยนต์ที่ไม่ใช่พลังงานไฟฟ้า จะเลือกพิจารณารถยนต์ไฟฟ้าอย่างแน่นอน หากจะต้องซื้อรถยนต์คันต่อไปในอีกสามปีข้างหน้า ผลสำรวจยังระบุอีกว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีความกระตือรือร้นในการพิจารณาเลือกซื้อรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน เช่นเดียวกับอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ที่น่าสนใจคือ
ประเทศไทยมีจำนวนผู้ที่เข้าใจเรื่องเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงวิธีการใช้งานเพิ่มมากขึ้นร้อยละ
53 โดยวัดจากผู้ที่ร่วมตอบแบบสำรวจ นอกจากนี้ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นว่า
จำนวนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึงร้อยละ 33
ของผู้ร่วมตอบแบบสำรวจ จะเลือกพิจารณาซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเมื่อเทียบกับ 5 ปีที่ผ่านมา
โดยในปัจจุบันยานยนต์ไฟฟ้าได้ แบ่งออกเป็น 4 ประเภทด้วยกันคือ
1. ยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (HEV, Hybrid electric vehicle) เป็นยานยนต์ไฟฟ้าแบบลูกผสม (Hybrid) มีทั้งเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงทั่วไปและมอเตอร์ไฟฟ้าพร้อมแบตเตอรี่
จึงมีความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่ำกว่ายานยนต์ปกติ
รวมทั้งยังสามารถนำพลังงานกลที่เหลือหรือไม่ใช้ประโยชน์เปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าเก็บในแบตเตอรี่ แต่ไม่มีช่องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟฟ้า
2. ยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริดปลั๊กอิน (PHEV, Plug-in Hybrid Electric
Vehicle) เป็นยานยนต์ไฟฟ้าที่พัฒนาต่อยอดมาจาก
HEV ซึ่งมีการทำงานทั้ง 2 ระบบ (น้ำมันและไฟฟ้า)
แต่เพิ่มระบบเสียบปลั๊กชาร์จไฟขึ้นมา (plug-in) การอัดประจุไฟฟ้าจากภายนอกและนำมาเก็บไว้ที่แบตเตอรี่นั้น
ทำให้ PHEV สามารถวิ่งได้ในระยะทางที่ไกลกว่า HEV
3. ยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV, Battery Electric Vehicle) เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่มีการปล่อยไอเสียออกมาเลย
เนื่องจากเป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า และใช้พลังงานแบตเตอรี่ไฟฟ้า
ซึ่งมาจากการเสียบปลั๊กชาร์จไฟฟ้าอย่างเดียว ไม่มีการปล่อยมลพิษทางอากาศจากยานยนต์โดยตรง
4. ยานยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV, Fuel Cell Electric Vehicle) เป็นยานยนต์ไฟฟ้าที่ได้พลังงานมาจากเซลล์เชื้อเพลิง (fuel cell) โดยเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจนจากภายนอก
มีความจุพลังงานจำเพาะที่สูงกว่าแบตเตอรี่ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
เชื่อว่าเป็นคำตอบที่แท้จริงของพลังงานสะอาดในอนาคต
แต่อย่างไรก็ตามยังมีข้อจำกัดอย่างสถานีเชื้อเพลิงไฮโดรเจน (Hydrogen Fuel
Station) มีน้อยมาก เหมือนที่รถ BEV มี Charging
Station ที่น้อยเมื่อหลายปีก่อน ขณะที่ปัจจุบันเริ่มมีภาคเอกชนลงทุนในด้านนี้มากขึ้น
ปัจจัยที่ทำให้เกิดความต้องการยานยนต์ไฟฟ้า
ทั้งนี้จากผลสำรวจระบุอีกว่า ปัจจัยอันดับต้นๆ
ในประเทศไทยที่ทำให้ผู้ตอบแบบสอบถามเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า คือการใช้รถยนต์ไฟฟ้านั้นจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นอย่างมาก
ซึ่งกระแสสร้างโลกสีเขียวนี้ทำให้ร้อยละ 90 ของผู้ใช้รถตระหนักว่า
‘รถยนต์ไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับสิ่งแวดล้อม’
ซึ่งถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งภูมิภาคอาเซียน (ร้อยละ 88) เล็กน้อย
ในขณะที่ผู้ร่วมตอบแบบสำรวจคนไทยมากถึงร้อยละ
91 กล่าวว่า
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมนั้นมีผลต่อการพิจารณาเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ 3 ใน 4 ของผู้ใช้รถในประเทศไทยกล่าวว่า
แหล่งพลังงานหมุนเวียนจะช่วยส่งเสริมให้มีการซื้อหรือเช่าซื้อรถยนต์ไฟฟ้า
ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเทรนด์ใหม่ที่เกิดขึ้น
โดยงานวิจัยนี้ยังเผยถึงกระแสการตื่นตัวต่อเรื่องสิ่งแวดล้อมที่กำลังสูงขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ซึ่งผู้ตอบแบบสำรวจเชื่อว่าการใช้รถยนต์ไฟฟ้านั้นทำให้พวกเขามีส่วนช่วยปกป้องสิ่งแวดล้อมได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ในปี 2563 ร้อยละ 39 ของผู้ตอบแบบสำรวจชาวไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่ม
“นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม” ซึ่งเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 34
เมื่อเทียบกับงานวิจัยเดียวกันเมื่อปี 2561
อุปสรรคต่อการมุ่งสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า
จากการสำรวจยังพบว่า ผู้บริโภคคนไทยคลายกังวลเกี่ยวกับอุปสรรคต่อการเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้าน้อยลงในช่วงปี
2561 ถึง 2563
โดยผู้ตอบแบบสอบถามกังวลเรื่องพลังไฟฟ้าจะหมดระหว่างทางก่อนไปถึงสถานีชาร์จ
ซึ่งผลการสำรวจลดลงมาจากร้อยละ 58 ในปี 2561 เหลือร้อยละ 53 ในปี 2563
เช่นเดียวกับข้อสงสัยต่อเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าที่ลดลงมาจากร้อยละ 48 เหลือร้อยละ 40 ในปี 2563
ผู้ใช้รถในไทยเห็นว่า
สิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า
และเป็นปัจจัยหลักสำคัญเพียงเรื่องเดียว ที่ยังคงเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2561 นั่นก็คือ “ความกังวลต่อระบบแท่นชาร์จไฟฟ้าสาธารณะที่มีอยู่อย่างจำกัด”
ในขณะเดียวกันข้อกังวลนี้กลับลดลงในทุกประเทศที่มีการสำรวจ
โดยเฉลี่ยร้อยละ 9
และนอกจากนี้ผลการวิจัยยังชี้ให้เห็นถึงเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยในอนาคต
ซึ่งก็คือเครื่องยนต์แบบ อี-พาวเวอร์ (e-POWER) ที่ใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าโดยไม่ต้องชาร์จไฟฟ้า
อีกปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนผลการสำรวจนี้
คือร้อยละ 76
ของผู้ตอบแบบสำรวจชาวไทยระบุว่า อุปสรรคต่อการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า คือสถานีชาร์จไฟฟ้าที่จำเป็นต้องมีมากขึ้นในเขตบริเวณที่พักอาศัย
และความกังวลเกี่ยวกับระบบแท่นชาร์จไฟฟ้าตามแหล่งสาธารณะ (ร้อยละ 47) อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยด้านราคาและการซ่อมบำรุงรักษา
ยังเป็นอีกประเด็นที่ผู้บริโภคในประเทศไทยพิจารณา
อันเนื่องจากทัศนคติที่มองว่ารถยนต์เป็นมากกว่ายานพาหนะ
แต่เปรียบเป็นทรัพย์สินรูปแบบหนึ่ง ดังนั้นการเลือกที่จะใช้ยานยนต์ไฟฟ้าอาจพิจารณาถึงความคุ้มค่าและต้นทุนในการดูแลรักษาควบคู่ไปด้วย
เหตุนี้จึงมองได้ว่า
หากประเทศไทยจะมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าให้ได้อย่างรวดเร็ว ‘ราคา’ ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของผู้บริโภค
แหล่งอ้างอิง : สถาบันยานยนต์
สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<<