การทำงานกับคนในครอบครัวหรือญาติมิตร
ไม่ได้สวยสดงดงามเหมือนสายรุ้ง
เพราะอาจเกิดการกระทบกระทั่งทุ่มเถียงกันได้เมื่อแนวคิดไม่ตรงกัน แต่อย่าปล่อยให้เรื่องระหองระแหง
มาเป็นอุปสรรคในการขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่ความสำเร็จ
แล้วจะทำยังไงดีล่ะ เพื่อให้การบริหารธุรกิจในครอบครัว ดำเนินไปอย่างราบรื่น ปราศจากความขัดแย้งและดรามา รวมถึงไม่ให้เรื่องส่วนตัวมาทับซ้อนกับธุรกิจ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
อันดับแรกเริ่มจากกำหนดบทบาทของแต่ละคนให้ชัดเจน
กำหนดบทบาท ตำแหน่ง
หน้าที่ในบริษัทให้แก่คนในครอบครัวอย่างชัดเจน เหมือนพนักงานคนอื่นๆ ซึ่งจะทำให้คนในครอบครัวทราบว่าตัวเองมีความรับผิดชอบอะไรบ้าง
และไม่ไปทำหน้าที่ทับซ้อนกับคนอื่น
ในการกำหนดบทบาทหน้าที่นั้น
ควรพิจารณาให้เหมาะสมกับทักษะและความสามารถ
ไม่ใช่ยอมให้คนในครอบครัวเข้าไปนั่งในตำแหน่งที่แต่ละคนอยากได้
เพียงเพราะไม่อยากมีปากเสียงกัน เนื่องจากไม่ใช่ว่าทุกคนในครอบครัวจะมีประสบการณ์หรือทักษะที่เหมาะสมสำหรับตำแหน่งที่อยากได้
นอกจากนั้น
ยังควรเปิดกว้างพิจารณาคนนอกที่มีความสามารถหรือทักษะในการนำพาบริษัทไปในทิศทางที่ดี
ทำตัวเหมือนพนักงานทั่วไป
เมื่อวางตัวลูกๆ
หรือญาติพี่น้องในตำแหน่งต่างๆ แล้ว
คนเหล่านี้ก็เป็นพนักงานซึ่งควรได้รับการปฏิบัติแบบพนักงาน
และควรทำตัวไม่ต่างจากพนักงานคนอื่นๆ รวมถึงเรื่องเงินเดือนค่าจ้างด้วย
ที่ไม่ควรล้ำหน้าพนักงานคนอื่น
เมื่อพนักงานคนอื่นเห็นแนวทางของนายจ้างว่าปฏิบัติต่อทุกคนด้วยมาตรฐานเดียวกัน
ไม่มีการเลือกปฏิบัติ จะช่วยได้มากในเรื่องขวัญกำลังใจในการทำงาน
มีตัวอย่างของ Roger Kauffman ประธานบริษัท Electric Motor
Repair Company ในสหรัฐ ที่รับช่วงธุรกิจซ่อมบำรุงรถต่อจากพ่อ
และเมื่อลูก 2 คนของเขาเข้ามาทำงานที่บริษัท เขาจับให้ทำงานคนละแผนก
จะได้ไม่ทะเลาะกัน และให้อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของหัวหน้างานที่ไม่ได้เป็นคนครอบครัว
หาก Kauffman ได้ยินว่าลูกไปทำงานสายหรือทำอะไรผิดพลาด
ก็จะไปถามหัวหน้างานว่าลงโทษแล้วหรือยัง
ขีดเส้นใต้ งานส่วนงาน
ตอนอยู่ที่ทำงาน แต่ละคนคือ พนักงานตามตำแหน่งหน้าที่
และเมื่ออยู่นอกเวลางาน ทุกคนคือครอบครัวเดียวกัน ที่มีความรักใคร่กลมเกลียวกัน
แต่หากมีเรื่องที่ไม่พอใจกันในครอบครัว อย่านำความไม่พอใจตอนอยู่บ้าน
หรือเรื่องส่วนตัวของคนในครอบครัว มาระบายในที่ทำงาน สิ่งนี้อาจทำได้ยากแต่จำเป็น
รวมถึงการพูดเรื่องงานที่ออฟฟิศเท่านั้น ไม่นำมาพูดตอนอยู่กันในครอบครัว การทำเช่นนี้คือการขีดเส้น
ไม่ให้ธุรกิจเข้ามามีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว
หากมีเค้าลางว่าความขัดแย้งกำลังก่อตัวขึ้น
ควรพูดคุยปรับความเข้าใจกันเสียก่อนที่เรื่องราวจะบานปลายกลายเป็นดรามาและมีการใช้อารมณ์
เพราะรังแต่จะส่งผลเสียต่อธุรกิจและบรรยากาศการทำงาน แต่หากสถานการณ์ร้อนแรง
ถึงขั้นที่ใช้กันแต่อารมณ์และไม่มีใครฟังใคร
อย่าเพิ่งคาดหวังว่าจะแก้ไขปัญหาให้หายไปในพริบตา แต่อาจให้ทุกคนไปสงบสติอารมณ์
เมื่ออารมณ์ดีขึ้นแล้ว ค่อยมาปรับความเข้าใจกัน
หรือหากมีพนักงานที่ไม่ได้เป็นคนในครอบครัวและเป็นคนที่สามารถไว้ใจได้
อาจแต่งตั้งให้ทำหน้าที่คนกลางคอยเข้ามาหย่าศึกเมื่อความระหองระแหงระหว่างคนในครอบครัว
ทำท่าจะกระทบต่อการทำงาน
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจในครอบครัวควรตระหนักว่า หากต้องทำธุรกิจแล้วคนในครอบครัวทะเลาะเบาะแว้ง จนมองหน้ากันไม่ติด อาจไม่คุ้มค่าในระยะยาว เพราะปัญหาด้านความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว อาจมีผลกระทบเชิงจิตวิทยาระยะยาวนอกที่ทำงานได้
สังสรรค์กันบ้าง
การบริหารธุรกิจ
โดยเฉพาะกับคนในครอบครัว อาจเป็นเรื่องเครียดได้ และความอดทนก็อาจร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ
แต่ไม่ควรปล่อยให้เรื่องงานเข้ามามีอิทธิพลตลอด 24 ชั่วโมง ลองหาเวลาทำกิจกรรมกับคนในครอบครัวเพื่อคงไว้ซึ่งความสัมพันธ์และปรับเปลี่ยนบรรยากาศให้มีเสียงหัวเราะ
ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง กินข้าวเย็น ปิกนิก ไปต่างจังหวัด
หรือกิจกรรมอะไรก็ได้ที่ทั้งครอบครัวชื่นชอบ
การไปไหนไปกัน ระหว่างนั้นก็รดน้ำธุรกิจเล็กๆ ของครอบครัวให้เติบโต สามารถตอกย้ำความรู้สึกของการเป็นทีมเดียวกัน และเป็นเครื่องเตือนใจว่าอย่าเครียดเกินไป แต่ควรทำสิ่งต่างๆ อย่างมีความสุขและสนุก
ความโปร่งใสต้องมี
หากธุรกิจที่ทำอยู่นั้น มีคนนอกถือหุ้นด้วย
คนนอกย่อมมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้ทำทุกอย่างแบบโปร่งใส แต่แม้กรณีที่ไม่มีคนนอก
ก็สามารถเปิดเผยข้อมูลต่างๆ หรือตัวเลขงบดุล,กำไรขาดทุนให้แก่ลูกๆ
หรือคนในครอบครัวทราบได้
เพราะการเก็บงำอะไรเป็นความลับมักนำไปสู่ความไม่พอใจและความสงสัยว่าปิดบังซ่อนเร้นอะไรไว้
เหนือสิ่งอื่นใด คนในครอบครัวคือคนที่ทำงานด้วยกัน ลงทุนลงแรงด้วยกัน
และธุรกิจนี้ก็เป็นของพวกเขาด้วย
ดังนั้นพวกเขาจึงมีสิทธิที่ทราบข้อมูลรายละเอียดต่างๆ
อย่าลืมวางตัวทายาท
หลังจากลงทุนลงแรงก่อร่างสร้างธุรกิจของครอบครัวมาอย่างเหน็ดเหนื่อยแล้ว
ขั้นตอนสำคัญคือจัดวางตัวทายาทไว้รับช่วงต่อ
ซึ่งสิ่งที่ควรพิจารณาคือใครมีศักยภาพที่จะบริหารบริษัท
ใครมีคุณสมบัติที่เหมาะสมที่สุด และบริษัทควรมีผู้บริหารแบบไหน
เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะเลือกใครให้มารับช่วงต่อ ควรมีการสอนงานและเปิดโอกาสให้ว่าที่ทายาทได้เรียนรู้การดำเนินงานด้านต่างๆ รวมถึงพูดคุยว่าจะมีทิศทางหรือแนวคิดใหม่ๆ สำหรับธุรกิจยังไงบ้าง
การที่คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ทำธุรกิจมาแบบหนึ่ง
ไม่ได้หมายความว่าคนรุ่นต่อไปก็ต้องทำแบบเดิมไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อคนรุ่นลูกรู้สึกว่าต้องเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างเพื่อพัฒนาการในระยะยาว
ดังนั้นคนแต่ละรุ่นจึงต้องพัฒนาและจัดทำกลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อให้ธุรกิจเติบโตต่อไปได้
เพราะสภาพแวดล้อมทางธุรกิจย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
ขณะเดียวกัน เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม
คนรุ่นบุกเบิกก็ต้องพร้อมจะวางมือและปล่อยให้ทายาทได้แสดงฝีมือ
สูตรสั้นๆ แต่มีค่าในการบ่มเพาะและขับเคลื่อนธุรกิจในครอบครัวให้ประสบความสำเร็จ
อยู่ที่การรับฟังซึ่งกันและกัน สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการทำงาน
และจับมือไว้เพื่อไปด้วยกันเสมอ ซึ่งหากทำได้อย่างนี้ย่อมมีความแฮปปี้ในหมู่ญาติพี่น้อง