ช่วงเทศกาลผลไม้ไทยกำลังคืบคลานเข้ามาในจังหวะที่ยอดการส่งออกตกหล่น
เพราะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เศรษฐกิจชะงักงันจากการปิดเมือง ปิดธุรกิจห้างร้าน ลดการจ้างงาน กักตัว
กักตุนสินค้า เก็บตัว
เพื่อกำจัดโรคระบาดที่กำลังคุกคามผู้คนในขณะนี้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นเค้าลางวิกฤติทางเศรษฐกิจการเงินส่วนตัว
ไปจนถึงระดับประเทศชาติก็ว่าได้ เพราะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
นั้นเกี่ยวพันโยงใยกับธุรกิจ ธุรกรรมของผู้คนไปแล้วทั่วโลก
แม้แต่ชาวสวนชาวไร่ก็ได้รับผลกระทบไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะสถานการณ์ของผลไม้ประจำฤดูกาลสำคัญอย่าง ทุเรียน มังคุด ลองกอง และเงาะ ที่ภาครัฐกำลังห่วงกังวลเพราะทำการส่งออกไม่ได้ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคนี้ ทั้งในส่วนของภาคตะวันออกที่เริ่มออกสู่ท้องตลาดแล้วตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม และจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงเดือนกรกฎาคม จากนั้นจะส่งไม้ต่อให้แก่ผลไม้ทางภาคใต้ที่จะมีผลิตออกมามากที่สุดในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ แต่ยังไม่มีตลาดรองรับ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
สถานการณ์ผลไม้ไทย 4 ชนิดที่สำคัญ ปี 2563
ผลไม้ภาคตะวันออก : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เผยถึงผลพยากรณ์ไม้ผลภาคตะวันออกในเขตจังหวัดจันทบุรี
ระยอง ตราด ปี 2563 ครั้งที่ 2 (ข้อมูล ณ 24 มกราคม 2563) โดย สศก.
ร่วมกับคณะทำงานสำรวจข้อมูลไม้ผลเศรษฐกิจภาคตะวันออก พบว่าไม้ผลทั้ง 4 ชนิด ได้แก่
ทุเรียน มังคุด เงาะ และลองกอง มีผลผลิตรวมจำนวน 1,053,016 ตัน เพิ่มขึ้นจากผลพยากรณ์ครั้งที่
1 ร้อยละ 18.78 เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวย มีความหนาวเย็นไม่มากและหนาวเย็นนาน
มีฝนตกเหมาะสมกับช่วงระยะการออกดอก ส่งผลให้การติดดอกออกช่อของผลผลิตได้ดี
ออกดอกได้เต็มต้น
ประกอบกับราคาผลไม้อยู่ในเกณฑ์ดีในปีที่ผ่านมา
จูงใจให้เกษตรกรดูแลรักษาต้นมากขึ้น
ส่งผลให้ผลผลิตรวมและผลผลิตต่อไร่ของไม้ผลทุกชนิดมีทิศทางเพิ่มมากขึ้น
โดยผลผลิตทุเรียนมีจำนวนเพิ่มขึ้นมากที่สุดร้อยละ 21 รองลงมาได้แก่ ลองกอง
เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 เงาะ เพิ่มขึ้นร้อยละ 17 และมังคุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 14
ผลไม้ภาคใต้ : สำหรับในเขต 14
จังหวัดภาคใต้มีสินค้าหลัก 4 ชนิด ได้แก่ ทุเรียน มังคุด เงาะ
และลองกอง มีพื้นที่ปลูกพืชทั้ง 4 ชนิดรวมกันเป็น จำนวน 1,018,651 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปี 2562 ที่มีจำนวน 1,002,587 ไร่ เป็น 16,064 ไร่ หรือร้อยละ 1.60 ซึ่งคาดว่าผลผลิตรวมของทุเรียนจะเพิ่มขึ้นมากที่สุดอยู่ที่ร้อยละ
16.29 เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยและราคาดีต่อเนื่อง
จูงใจให้เกษตรกรดูแลรักษาต้นทุเรียนดี ส่วนมังคุด เงาะ และลองกอง
คาดว่าผลผลิตรวมลดลง โดยมังคุดจะลดลงอยู่ที่ร้อยละ 2.01
เนื่องจากในแหล่งผลิตที่สำคัญ คือ จังหวัดชุมพร ฝนตกในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์
2563 ทำให้ต้นมังคุดแตกยอดอ่อนแทน ส่วนเงาะ ลดลงร้อยละ 6.87 และลองกอง ลดลงร้อยละ
7.55
ปีนี้จึงมีผลผลิตของสินค้าทั้ง 4 ชนิด ได้แก่ ทุเรียน มังคุด เงาะ และลองกอง
ของภาคตะวันออกและภาคใต้รวมกันแล้วอยู่ที่ประมาณ 1,918,053 ตัน
ด้านสถานการณ์การส่งออกผลไม้ไทยอ้างอิงข้อมูลจากกรมการค้าภายในรายงานว่า
ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2562 นับตั้งแต่มกราคม-ตุลาคม มีปริมาณการส่งออก ทุเรียน
ไปยังตลาดโลกสูงสุด 42% รองลงมาเป็นมังคุด 16% ลำไย 14%
ซึ่งมีมูลค่ารวมการส่งออกผลไม้ไทยเติบโต 41.42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี
2561 เป็นมูลค่าการส่งออกรวมทั้งหมด 3,213
ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 99,000 ล้านบาท
โดยตลาดสำคัญของการส่งออกทุเรียน
และผลไม้ของไทยในปี 2562 ได้แก่ จีน อาเซียน ฮ่องกง สหรัฐอเมริกา และ เกาหลีใต้
ซึ่งเฉพาะมูลค่าการส่งออกผลไม้ไทยไปอาเซียนและจีน มีมูลค่าสูงถึง 2,690 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือร้อยละ 84
ของการส่งออกผลไม้ไทยไปตลาดโลก จากข้อมูลดังกล่าวหากประเทศไทยทำการส่งออกไม่ได้
นั่นเท่ากับว่าผลผลิตของผลไม้ทั้ง 4 ชนิดเกือบ 2 ล้านตันทั้งหมดจะตกหล่นอยู่ภายในประเทศไปแบบเลี่ยงไม่ได้
ผลผลิตปีนี้เพิ่มขึ้นแต่ส่งออกไม่ได้ เพราะโควิด-19
สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ
ประจำกรุงปักกิ่ง ฝ่ายเกษตร ประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ นครเซี่ยงไฮ้ และฝ่ายเกษตร
ประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว ได้จัดทำรายงานฉบับที่ 3 ประจำเดือนมีนาคม 2563
ณ วันที่ 1 มีนาคม 2563 โดยระบุถึงผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19
ต่อการนำเข้าผลไม้ไทย พอสรุปได้ว่า ผู้เชี่ยวชาญจากหลายสถาบันให้ความเห็นว่า
สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการนำเข้าผลไม้ไทย เนื่องจาก
1. ผลไม้ไทยมีราคาสูง
ทำให้คนจีนไม่นิยมบริโภคในช่วงนี้ ส่วนใหญ่จะเลือกซื้อสินค้าจำเป็น
และเลือกซื้อผลไม้ท้องถิ่นที่ราคาไม่แพง
2. เนื่องจากผู้บริโภคหลีกเลี่ยงการออกมาในที่สาธารณะ
รวมทั้งปัญหาระบบโลจิสติกส์ภายใน ทำให้ผู้นำเข้าต่างชะลอการสั่งซื้อ
และรอดูสถานการณ์การระบาด
3. การระงับเที่ยวบินระหว่างไทย-จีนอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกผลไม้ไทยที่ขนส่งทางอากาศ
นี่จึงเป็นเหตุผลหลักที่พอจะคาดเดาทิศทางอนาคตของชาวสวนไทยได้ไม่ยาก
ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในสภาวะที่คนตกงาน ว่างงาน รายได้ไม่ขยับ เศรษฐกิจโลกชะลอตัว
เศรษฐกิจประเทศหยุดชะงัก เศรษฐกิจระดับครัวเรือนอยู่ในช่วงยากลำบาก จากการประกาศปิดกิจการ Lockdown เมืองหลวง จนสามารถคาดการณ์ได้ว่าราคาผลไม้ปีนี้จะตกลงจากการระบายออกไปนอกประเทศได้ยาก
เพราะผลไม้ไม่สามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน
และในสถานการณ์แบบนี้คงมีน้อยสวนที่จะทำนอกฤดูกาล นี่จึงเป็นจังหวะและโอกาสที่ผู้ประกอบการไปจนถึงบุคคลทั่วไปที่กำลังมองหาโอกาสเริ่มต้นธุรกิจ
ใช้ช่วงวิกฤติพลิกเป็นโอกาสให้ตัวเอง โดยผู้ประกอบการหรือกลุ่มเกษตรกรอาจต้องวางแผนให้ไว
ในการจัดการผลผลิตที่กำลังจะออกมา เพื่อเปลี่ยนวิกฤติมาเป็นโอกาส
ท่ามกลางวิกฤติที่ทำให้ผู้คนห่วงกังวล เช่น
1. ทำการตลาดออนไลน์ โดยความร่วมมือกับไปรษณีย์ไทยหรือบริษัทขนส่งเหมือนในยุคสมัยหนึ่งที่ผ่านมา
ด้วยการจัดแพ็คเกจราคาที่คุ้มค่าดีกว่าปล่อยให้เน่าเสียหน้าสวน
ปรับการขายสดขณะผลไม้สุกแก่มาเป็นการขายส่ง Delivery แบบคำนวณระยะเวลาการสุกให้ถึงหน้าประตูบ้านผู้บริโภคในช่วงต้นและปลายฤดูกาล
ซึ่งเป็นช่วงที่สามารถทำตลาดได้ก่อนคู่แข่งและทำราคาได้ดีกว่าช่วงกลางฤดูกาล
2. ปรับล้งซื้อขายสดเป็นล้งเก็บสต๊อกแช่แข็งไว้ เพื่อยืดเวลาให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤติด้านราคาออกไป
ตลอดจนเปิดบริการให้เช่าพื้นที่เก็บสินค้าทางการเกษตรแบบแช่แข็งควบคู่ไปด้วย
จะช่วยให้ผ่านพ้นช่วงที่ทำการส่งออกในฤดูกาลไม่ได้ เพราะเมื่อผ่านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ไปได้แล้ว ค่อยนำออกสู่ตลาดจำหน่ายในราคาที่สูงกว่าช่วงที่มีผลผลิตล้นตลาด
ไปจนถึงทำสัญญาการค้ากับคู่ค้าที่ทำการส่งออกแต่ไม่สามารเก็บผลผลิตสต๊อกได้
3. ผลผลิตใดที่เกินกำลังการเก็บรักษา
หรือแช่แข็งให้นำมาแปรรูป เป็นผลิตภัณฑ์ดั้งเดิมที่มีอยู่แล้วไปจนถึงของแปลกใหม่ที่ยังไม่มี
เพื่อขยายช่องทางการทำตลาดให้มากขึ้น และลดจำนวนการสูญเสียลง
4. วิ่งล่องผลไม้ขายแบบดั้งเดิม ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่ปกตินั่นคือ ผู้คนลดการออกจากบ้านก็ให้ปรับเปลี่ยนมาเป็นการวิ่งล่องขายรายทางไป จนถึงนำเสิร์ฟส่งให้เองแบบถึงหน้าประตูบ้าน บนเส้นทางที่ต้องเดินรถอยู่แล้วควบคู่ไปด้วย แล้วจะเห็นยอดขายที่พุ่งขึ้นจนวิ่งขึ้นล่องไม่ทัน ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้ประกอบการค้าในแนวทางนี้ ควรมีใบรับรองแพทย์ประกอบการขายว่าไม่ใช่ผู้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจ และเป็นจุดขายที่น่าเลือกซื้อในสถานการณ์แบบนี้
ทั้งหมดนี้เป็นแนวทางในการเตรียมการเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เผื่อไว้
ในวันที่ผลไม้ไทยหมดทางไปต่อตามระบบปกติ ไปจนถึงการสร้างโอกาสให้ได้เริ่มต้นทำอะไรในช่วงเวลาที่หลายคนถอดใจให้กับจังหวะชีวิต
ที่อาจดูสุ่มเสี่ยงท่ามกลางกำลังพลคู่แข่งที่น้อยรายไปจนถึงไม่มีเลย
เพราะจากข้อมูลที่ได้จากการสำรวจพูดคุยกับคนที่ตกงาน
ถูกพักงานแบบไม่ได้เงินเดือนจากสถานการณ์ที่ห้างร้านต้องปิดตัวลง เพื่อหยุดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้วผันตัวเองจากลูกจ้างกินค่าแรงไม่กี่ร้อยบาทต่อวัน
มาเป็นการวิ่งล่องขายผลไม้ ผักสด จากตลาดไท เสิร์ฟตรงตามชุมชนที่ห่างไกล
และซอกซอยต่างๆ ในช่วงกักตัวหลายราย พบว่าการหันมาทำแบบนี้กลับสร้างรายรับที่ดีเป็นหลักหลายพันต่อวัน
ทำให้ชีวิตพลิกผันเปลี่ยนไปเป็นทางตรงกันข้ามกับที่ชีวิตในยามปกติไม่เคยนึกถึงไปในทันที.
แหล่งอ้างอิง :
https://www.kasetkaoklai.com/home
https://www.prachachat.net/local-economy/news-433044
https://www.dit.go.th/Default.aspx