สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ถือเป็นการพิสูจน์ศักยภาพของประเทศไทยที่มีความแข็งแกร่งหลายด้าน
ทั้งด้านสาธารณสุข และอุตสาหกรรมอาหารของไทย ที่สามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้
ขณะที่อีกหลายประเทศยังประสบปัญหาอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเจรจาการค้าเอฟทีเอ
โดยจากข้อมูลของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ พบว่า ในช่วงเดือน ม.ค.–ก.ย. 2563 การส่งออกสินค้าอาหารแช่เย็นแช่แข็งของไทยขยายตัวต่อเนื่อง แม้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 โดยไทยส่งออกอาหารแช่เย็นแช่แข็งสู่ตลาดโลกมูลค่า 5,099.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 9% เป็นการส่งออกไปประเทศคู่ค้าเอฟทีเอมูลค่า 4,550.5 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 89.2% ของการส่งออกสินค้าอาหารแช่เย็นแช่แข็งทั้งหมด ขยายตัว 13.1%
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ปัจจุบันจีนเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่ง
สัดส่วน 52.5% รองลงมาคือ อาเซียน สัดส่วน 13.6% ญี่ปุ่น สัดส่วน 12% และฮ่องกง
สัดส่วน 8.4% โดยตลาดส่งออกที่น่าจับตามองเพราะมีอัตราการเติบโตสูง ได้แก่ จีน
ขยายตัว 41.3% และฮ่องกง ขยายตัว 48% สำหรับสินค้าที่ขยายตัวได้ดี อาทิ
ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง 13.6%,
ไก่แช่เย็นแช่แข็ง 21.7%, สุกรแช่เย็นแช่แข็ง 640.7%, ปูแช่เย็นแช่แข็ง 7.3% และหอยแช่เย็นแช่แข็ง 8.5%
ทั้งนี้ การที่ไทยมีความตกลงการค้าเสรีกับประเทศคู่ค้าสำคัญ
18 ประเทศ เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่สร้างข้อได้เปรียบด้านราคาให้แก่สินค้าไทย
โดยปัจจุบันอาหารแช่เย็นแช่แข็งของไทยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าใน 8 ประเทศคู่เอฟทีเอ
ได้แก่ อินโดนีเซีย บรูไน เมียนมา สิงคโปร์ จีน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และฮ่องกง
สำหรับอีก 10 ประเทศ ลดภาษีสินค้าส่วนใหญ่เป็นศูนย์แล้ว
แต่คงภาษีนำเข้าบางรายการ อาทิ เวียดนาม เก็บภาษีไก่แช่เย็นแช่แข็ง 5%, ฟิลิปปินส์ เก็บภาษีสุกร เป็ด ไก่ แช่เย็นแช่แข็ง 5%, กัมพูชา เก็บภาษีผักผลไม้แช่เย็นแช่แข็ง และไก่/เป็ดแช่เย็นแช่แข็ง 5%, เกาหลีใต้ เก็บภาษีผลไม้แช่เย็นแช่แข็ง 0-50% และไก่แช่เย็นแช่แข็ง 5-27%, ญี่ปุ่น เก็บภาษีกล้วย สับปะรด ส้มแช่เย็นแช่แข็ง 0-3.2%
และประมงแช่เย็นแช่แข็ง 0-10%, อินเดีย
เก็บภาษีนำเข้าไก่และไข่ไก่แช่เย็นแช่แข็ง 30% ประมงแช่เย็นแช่แข็ง 0-30%, เปรู เก็บภาษีไก่และสุกรแช่เย็นแช่แข็ง 17% และไข่ไก่แช่เย็นแช่แข็ง 9%
และชิลี เก็บภาษีไก่/เป็ดแช่เย็นแช่แข็ง 2%
เมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการส่งออกสินค้าอาหารแช่เย็นแช่แข็งของไทยไปตลาดโลก
ระหว่างปี 2562 กับปี 2535 ซึ่งเป็นปีก่อนที่ไทยจะมีเอฟทีเอฉบับแรกกับอาเซียน
พบว่า การส่งออกไปยังตลาดโลกขยายตัวเพิ่มขึ้น 151%
ขณะที่การส่งออกไปประเทศคู่เอฟทีเอขยายตัวสูงถึง 227%
สำหรับการส่งออกรายตลาดคู่เอฟทีเอเติบโตอย่างน่าพอใจ เช่น อาเซียน ขยายตัว 802%, จีน ขยายตัว 678%, ญี่ปุ่น ขยายตัว
42% และฮ่องกง ขยายตัว 25 % เป็นต้น
การขยายตัวของการส่งออกสินค้าอาหารแช่เย็นแช่แข็งของไทย ท่ามกลางสภาวะความไม่แน่นอนทางการค้า เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมอาหารไทยที่มีจุดแข็งด้านคุณภาพและมาตรฐานการผลิต สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค มีความหลากหลายด้านอาหาร และมีผลผลิตทางการเกษตรที่เป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารออกสู่ตลาดโลกได้อย่างต่อเนื่อง