การมาถึงของยุคดิจิทัล รวมถึง 5G, AI และ Cloud ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของการดำเนินธุรกิจ ทำให้ทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจต้องปรับตัว เพื่อก้าวไปข้างหน้าในยุคดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น นอกจากนี้ ในกลุ่มองค์กรขนาดใหญ่ มีแนวโน้มการใช้งานคลาวด์คอมพิวติ้งที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ความต้องการใช้เครือข่ายที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น อัตราความเร็วการถ่ายโอนข้อมูลที่สูงขึ้น ความเสถียรภาพของเครือข่ายที่ดีขึ้นและมีความปลอดภัยของเครือข่ายที่สูงขึ้น
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
นายคลอดิโอ ดูการี
ผู้อำนวยการฝ่ายขาย DWDM โกลบอล โซลูชันส์
หัวเว่ย กล่าวถึงเทรนด์เทคโนโลยีสำหรับองค์กรในทศวรรษที่กำลังจะมาถึงไว้ว่า
ระบบคลาวด์กำลังจะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรชั้นนำทั่วโลก
มีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2025 บริษัทและองค์กรประมาณ 80% จะเชื่อมต่อกับระบบคลาวด์ และประมาณ 85%
ของบริการต่างๆ จะเกิดขึ้นบนระบบคลาวด์
แน่นอนว่าการเชื่อมต่อที่มีการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างองค์กรหลายครั้งเช่นนี้
จะต้องอาศัยโครงข่ายที่มีประสิทธิภาพ ด้วยแบนด์วิดท์ที่สูง ค่าความหน่วง (Latency) ต่ำ และความปลอดภัยที่ดีเยี่ยม
จึงเป็นที่มาของการพัฒนาระบบ OTN Premium Private Line โดยหัวเว่ย
ประเทศไทย โดยได้ร่วมมือกับ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT เปิดตัวการให้บริการดังกล่าวในประเทศไทยเป็นรายแรกในช่วงเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา
ระบบ Premium Private Line พรีเมี่ยมอย่างไร
ธุรกิจโทรคมนาคมด้าน Private Line กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
โดยอ้างอิงข้อมูลจาก Ovum1 ว่า ตลาด Private Line ซึ่งมีอัตราเติบโตเฉลี่ยสูงถึงปีละ 10.7%
จะมีมูลค่าถึง 72,000 ล้านดอลลาร์ ภายในปี 2020 บวกกับเทรนด์ตลาด Private Line ในประเทศไทย
ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาดและบริการ บริษัท กสท.
โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT ได้กล่าวไว้ว่า ทิศทางของธุรกิจในยุคดิจิทัลที่กำลังขับเคลื่อนไปข้างหน้า
จะทำให้องค์กรต่างๆ เชื่อมต่อกันอย่างทั่วถึงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ไม่ว่าจะเป็นระหว่างองค์กร ทั้งรัฐและเอกชนเอง
จนไปถึงการเชื่อมต่อกับคลาวด์เซอร์วิสและดาต้าเซ็นเตอร์
ซึ่งจำเป็นจะต้องมีโครงข่ายที่มีประสิทธิภาพมากพอ
และพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม Private Line แบบเก่าอาจจะยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควรเมื่อเทียบกับ
Premium Private Line ไม่ว่าจะเป็นความเสถียรที่มากกว่าและความปลอดภัยที่ดียิ่งขึ้น
ซึ่งสองคุณสมบัตินี้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเน็ตเวิร์คในองค์กรอย่างองค์กรรัฐหรือสถาบันการเงิน
รวมไปถึงความต้องการขององค์กรที่กำลังปรับตัวให้กลายเป็นองค์กรแห่งยุดดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น
ด้วยการย้ายฐานข้อมูลไปอยู่บนคลาวด์
จึงทำให้ต้องการเครือข่ายที่มีค่าความหน่วงที่ต่ำ ซึ่ง Premium Private
Line ตัวใหม่นี้สามารถตอบโจทย์ได้ดีกว่า
ผสานนวัตกรรม Data Analytics และ AI
นายวรกาน ลิขิตเดชาศักดิ์ รองหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีเครือข่ายโทรคมนาคม บริษัท
หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้อธิบายเพิ่มเติมถึง Premium Private Line ว่าเป็นเครือข่ายที่มอบประสบการณ์ที่ดีที่สุด
หรือ Ultimate Experience ให้แก่ลูกค้า
ผ่านคุณสมบัติที่ตอบโจทย์การใช้งานในยุคดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นทั้ง 5 ข้อ ได้แก่
Physical Isolation ด้วยสายเคเบิลที่แยกกันอย่างชัดเจน
เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานในแบบที่ผู้ใช้จะรู้สึกถึงความเป็นส่วนตัว
ราวกับว่ากำลังใช้เน็ตเวิร์คของตัวเองเท่านั้น
และรวมไปถึงการการันตีแบนด์วิดท์
Latency Assurance ก่อนหน้านี้การรับประกันค่าความหน่วงไม่ได้ถูกพูดถึงหรือให้ความสำคัญมากนัก แต่ด้วย OTN
Premium Private Line จะทำให้สามารถการันตีค่า Latency ให้ต่ำกว่าที่เคย
High Availability ความพร้อมใช้งานที่มากกว่าแบบ Premium จะทำให้สามารถใช้งานได้มากถึง 99.99%
Service Agility ความท้าทายของสถาบันการเงินที่จะมีความหนาแน่นของการใช้งานไม่เท่ากันในแต่ละช่วงเวลา
ทำให้อาจมีความต้องการในการปรับแบนด์วิดท์ ซึ่งหากเทียบกับ Private Line แบบเก่าจะสามารถทำได้ยากและใช้เวลานาน ตัว OTN Premium Private
Line นี้จะมีการใช้ NCE หรือ Network
Could Engine ผสานกับการประมวลผลจาก AI ทำให้สามารถปรับค่าแบนด์วิดท์ตามความต้องการของลูกค้าได้ง่ายและรวดเร็วขึ้นภายในหลักนาที
All Online ภาพรวมของเครือข่ายสามารถมองเห็นได้ง่ายขึ้น หากมีการขัดข้องที่สายเคเบิลที่ใด ตัว NCE จะทำงานร่วมกับ AI ในการหาจุดบกพร่อง และประมวลผลหาช่องทางอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงได้อย่างรวดเร็ว
ด้วยโซลูชันจากหัวเว่ยที่ผ่านการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
การร่วมมือกับ CAT ในครั้งนี้จะเป็นการเพิ่มฟีเจอร์
เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าองค์กรและหน่วยงานรัฐบาล
“จากการร่วมมือกับหัวเว่ยซึ่งมีการทำวิจัยด้านข้อมูลต่างๆ
และพัฒนาโซลูชันที่มีความพร้อมในแง่ของความเสถียร การบำรุงรักษาและการบริการหลังการขาย
ทำให้สามารถมอบฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่สอดรับกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าองค์กรได้” ดร.ดนันท์
สุภัทรพันธุ์
กล่าวเพิ่มเติมถึงศักยภาพที่เพิ่มขึ้นจากการร่วมมือกับหัวเว่ยในครั้งนี้
และเป็นการตอกย้ำถึงวิสัยทัศน์ที่พร้อมพัฒนาไปสู่ยุคดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น
นับว่าการร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นอีกแรงผลักให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าให้ทัดเทียมนานาชาติ เตรียมความพร้อมให้องค์กรในประเทศทั้งภาครัฐและธุรกิจในการเข้าถึงเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพ อันจะนำไปสู่การให้บริการผู้บริโภคและประชาชนได้ดียิ่งขึ้นผ่านการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ เสถียรภาพ และความยืดหยุ่นบนโครงข่าย OTN Premium Private Line