พลิกโฉมซัพพลายเชนโลก ผู้ผลิต ‘หนีจีน’ แห่ย้ายฐานสู่อาเซียน
ผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19
ทำลายเศรษฐกิจโลกย่อยยับ แต่ขณะเดียวกันสร้างความเปลี่ยนแปลงทางด้านโครงสร้างทางด้านเศรษฐกิจเกิดขึ้นใหม่มากมาย
ซึ่ง 1 ในนั้น คือการเปลี่ยนแปลงของซัพพลายเชนโลก จากเดิมต้องพึ่งพาการผลิตจากจีนเป็นหลัก
แต่การระบาดของไวรัสมรณะครั้งนี้ส่งผลให้การผลิตสินค้าและการส่งออกของจีนชะลอตัว อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตหลายประเทศจากการล็อคดาวน์ของประเทศจีน
ทำให้ทั่วโลกต้องแสวงหาแนวทางลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาซัพพลายเชนจากจีน
จากบทเรียนวิกฤติโควิด-19 ครั้งนี้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของซัพพลายเชนในภูมิภาค
มีปัจจัยสนับสนุนจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ที่ยังรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ทำให้บริษัทต่างชาติต้องการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน
เพื่อลดความเสี่ยงจากการกีดกันทางการค้า
รวมทั้งเมื่อเกิดการระบาดของโควิด-19 เป็นแรงกดดันให้เกิดการย้ายฐานการผลิตเพิ่มมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงในการพึ่งพาซัพพลายเชนจากจีน หลังจากฐานการผลิตในจีนที่พึ่งพาอยู่ ไม่สามารถผลิตหรือส่งออกได้ตามปกติผลพวงจากการล็อคดาวน์ประเทศจีนในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
4 ปัจจัยย้ายฐานผลิต
หรือ ‘พับฐาน’
สอดคล้องกับความเห็นของ นายกรกฎ
ผดุงจิตต์ เลขาธิการกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
เชื่อว่าบริษัทนานาชาติย้ายฐานผลิตออกจากจีนอย่างแน่นนอน เพื่อลดความเสี่ยงจาก 2
ปัจจัยลบดังกล่าว โดยเป้าหมายหลักคือย้ายฐานการผลิตไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออก และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
(อาเซียน) ซึ่งรูปแบบการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
1. การย้ายกลับไปประเทศแม่ เช่น
ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา
ซึ่งการผลิตที่เลือกย้ายกลับไปประเทศแม่เป็นกลุ่มชิ้นส่วนหรือสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีสูงในการผลิต
เช่น การใช้หุ่นยนต์ในสายการผลิตทั้งหมด
2. การย้ายฐานการผลิตเข้าไปลงทุนในประเทศที่มีฐานการลงทุนอยู่แล้ว
เช่น อาเซียน
อย่างไรก็ตามการระบาดของโรคโควิด-19
จะมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนในแต่ละประเทศ จาก 3 ปัจจัยสำคัญ คือ
1. สิทธิประโยชน์การส่งเสริมการลงทุน
เช่น การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล
2. โครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่าเรือ
3. ตลาดในประเทศและตลาดส่งออก
แต่หลังจากนี้นักลงทุนจะมองปัจจัยที่
4 เพิ่มเข้ามา คือการควบคุมการระบาดโรคโควิด-19 และโรคอุบัติใหม่ในอนาคต ซึ่งไทยมีจุดขายตรงที่สามารถควบคุมโรคระบาดโควิด-19
ที่ผ่านมาบริษัทต่างชาติมองการลงทุนในไทย
เวียดนาม มาเลเซียและอินโดนีเซีย นั้นส่วนใหญ่สนใจเข้ามาลงทุนในไทยเนื่องจากมีความได้เปรียบในการชักจูงการลงทุน
เพราะควบคุมการระบาดได้ค่อนข้างดี และมีความได้เปรียบด้านโลจิสติกส์อยู่แล้ว
ส่วนเวียดนามเป็นอีกประเทศที่ควบคุมการระบาดได้ค่อนข้างดี
รวมทั้งมีข้อได้เปรียบเรื่องค่าแรงถูก การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาน้อยกว่าจีน
ดังนั้นจึงเป็นคู่แข่งสำคัญของไทยในการเป็นฐานซัพพลายเชนโลก
ขณะที่มาเลเซียและอินโดนีเซียการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19
ไม่ดีเท่าไทยและเวียดนามทำให้นักลงทุนอาจจะชะลอการเข้าไปลงทุนด้วย
เน้นผลิตสต็อกสินค้าไว้ยามเหตุฉุกเฉิน
หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่บริษัทนานาชาติตัดสินใจจะใช้ซัพพลายเชนแบบโลกาภิวัตน์หรือจะใช้ระดับภูมิภาค
คือจังหวะเวลาในการผลิตและการประกอบสินค้าในซัพพลายเชนและการจัดเก็บ เพื่อให้มีประสิทธิภาพบริษัทต่างๆ
มักเลือกที่จะปรับกลยุทธ์โลจิสติกส์หรือกระบวนการขนส่งให้ได้ประโยชน์สูงสุด
เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บ
แต่ในโลกที่ความไม่แน่นอนและความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
การพึ่งพาการขนส่งจะทำให้บริษัทต่างๆ มีสินค้าคงคลังน้อยมาก หรืออาจขาดสต็อกเลยก็ได้
ซึ่งจากวิกฤติโควิด-19 ทำให้นานาประเทศและภาคเอกชนเริ่มเห็นคุณค่าของการจัดเก็บสินค้าในสถานที่ที่ตั้ง
มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ที่จะเข้าถึงได้ง่ายและจัดส่งไปถึงมือลูกค้าได้อย่างรวดเร็วในยามเกิดเหตุฉุกเฉิน
อุตสาหกรรมไทยกำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนครั้งสำคัญ
ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมประเทศไทยกำลังถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเช่นกัน
การก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการผลิตด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี
เพื่อทดแทนอุตสาหกรรมเดิม และการผลิตสินค้า Mass Product กำลังเข้าสู่วงจรถดถอย เนื่องจากการระบาดของโรคโควิด-19
กระทบต่อทุกภาคส่วน รวมถึงการลงทุนภาคเอกชนที่ต้องปรับแผนธุรกิจใหม่ทั้งหมด
หลังการระบาดของโควิด-19 ส่งผลเปลี่ยนแปลงหลายธุรกิจ
โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมการผลิตที่มีแรงกดดันให้นำเทคโนโลยีหุ่นยนต์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติมาใช้มากขึ้น ซึ่ง New
Normal จะสร้างมาตรฐานใหม่เป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
ที่มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีนำหน้า ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดโลกในอนาคต
4 ปัจจัยกำหนดทิศทางอุตสาหกรรมไทย
สำหรับปัจจัยขับเคลื่อนของ New Normal ต่อทิศทางของภาคอุตสาหกรรมไทย มี 4
ปัจจัยสำคัญ ได้แก่
1. ห่วงโซ่การผลิตที่สั้นลง ก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 โลกอยู่ในยุคการค้าไร้พรมแดน
ที่มีการย้ายฐานการผลิตเพื่อให้ได้มาซึ่งวัตถุดิบและค่าจ้างแรงงานที่ถูกกว่า
และพึ่งพาการนำเข้า-ส่งออกเป็นหลัก แต่หลังจากวิกฤตโควิด-19
ภาคอุตสาหกรรมการผลิตจะต้องทบทวนห่วงโซ่การผลิต (Supply
Chain) ที่จะเปลี่ยนแปลงไป หลายบริษัทอาจลดความยาวของ Supply
chain จากที่ผ่านมาจะผลิตชิ้นส่วนในหลายประเทศ
และส่งไปประกอบอีกประเทศหนึ่ง โดยหลังจากโควิด-19 จะลดให้สั้นลง
ลดพึ่งพิงการผลิตแบบกระจายฐานการผลิตหลายประเทศมาอยู่ประเทศเดียว ระบบ Supply
Chain ภาคอุตสาหกรรมจะขมวดเข้าสู่การพึ่งพาตลาดภายในประเทศมากขึ้น
และเน้นรายได้จากการบริโภคภายในประเทศ
2. ธุรกิจปรับสู่อีคอมเมิร์ซ จากพฤติกรรมที่ถูกบีบบังคับจากการกักตัวอยู่บ้าน ทำให้ภาคธุรกิจเข้าสู่การค้าอีคอมเมิร์ซ
การชำระสินค้าและบริการผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม ผู้ประกอบการหลายอุตสาหกรรมต้องเพิ่มบริการแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น
เป็นโอกาสเติบโตหลายธุรกิจ
3. การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรม ภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
จะฟื้นกลับคืนสู่ระบบธุรกิจเช่นเดิมได้หรือไม่
ขึ้นอยู่กับการพึ่งพาวัตถุดิบจากแหล่งผลิตที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19
มากน้อยแค่ไหน ยกตัวอย่าง อุตสาหกรรมยานยนต์ต้องพึ่งโซ่อุปทานจากหลายประเทศ
ทำให้ได้รับผลกระทบสูงจากการประกาศปิดประเทศ นำไปสู่การระงับการผลิตชิ้นส่วนและอะไหล่รถยนต์ชั่วคราว
ส่งผลให้ชิ้นส่วนขาดแคลนทั่วโลก ด้วยเหตุนี้ภาคการผลิตของอุตสาหกรรมยานยนต์ต้องกลับมาทบทวน
ปรับโครงสร้างการผลิตในรูปแบบเดิมให้รองรับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะหลังจากนี้
4. การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี ในการควบคุมการระบาดโควิด-19 เร่งด่วน ทำให้ภาคธุรกิจต้องเข้าสู่ยุค Digital Transformation อย่างเข้มงวด
ทำให้ต้องเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน และต้องใช้เทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารมากขึ้น
วิธีปฏิบัติเหล่านี้ช่วยให้การบริหารจัดการยืดหยุ่นมากขึ้น
ธุรกิจถูกปรับเปลี่ยนไปสู่ด้วยวิธีทำงานที่ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม การย้ายฐานการผลิตรวมถึงการเปลี่ยนซัพพลายเออร์จากจีนเป็นเทรนด์ที่เกิดมาระยะหนึ่งแล้ว จากการที่จีนกำลังเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจจากโรงงานผลิตสินค้าราคาถูก ไปเป็นสินค้าไฮเทค เน้นภาคบริการและการบริโภค สงครามการค้าจีน-สหรัฐฯและการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นปัจจัยลบเร่งปฏิกิริยาให้เกิดการเปลี่ยนผ่านเร็วขึ้น