Green Hydrogen ความท้าทายอุตสาหกรรมเหล็กไทย ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero)
“เหล็ก” เป็น 1 ใน 6 กลุ่มสินค้านำร่องร่วมกับซีเมนต์ ไฟฟ้าและไฮโดรเจน ปุ๋ย และอะลูมิเนียม ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมาก จึงต้องรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งการผลิตเหล็กทุก ๆ 1 ตันจะมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากถึง 1.85 ตัน และใช้น้ำมากถึงกว่า 128,704 ลิตรในกระบวนการหล่อเย็น จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าการผลิตเหล็กส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
หนึ่งในทางเลือกในการผลิต Green Steel คือการใช้ “Green Hydrogen” หรือกระบวนการผลิตก๊าซไฮโดรเจนที่ไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ระหว่างกระบวนการผลิต จะทำให้เหล็กที่ผลิตขึ้น จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้มากถึง 95% เมื่อเทียบกับการผลิตเหล็กแบบดั้งเดิม จึงกลายเป็นทางออกที่น่าสนใจและมีความเป็นไปได้ที่จะช่วยปฏิวัติวงการอุตสาหกรรมเหล็กให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น
สำหรับผู้ประกอบการ SME ไทยในอุตสาหกรรมเหล็ก การทำความเข้าใจถึงเทคโนโลยี Green Hydrogen และศักยภาพในการนำมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการผลิตเหล็ก จะเป็นการเปิดโอกาสให้ธุรกิจสามารถปรับตัวเข้าสู่ยุคใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถแข่งขันในตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการไปสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)
มาดูกันว่า เขามีกระบวนการผลิตอย่างไร และลดก๊าซเรือนกระจกได้มากขนาดไหน Bangkok Bank SME มีข้อมูลดี ๆ มาฝากกัน ติดตามได้ในบทความนี้

อุตสาหกรรมเหล็กกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและโอกาสจาก Green Hydrogen
อุตสาหกรรมเหล็ก เป็นหนึ่งในภาคอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นจำนวนมาก เนื่องจากกระบวนการผลิตเหล็กต้องใช้พลังงานสูง โดยเฉพาะการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงหลัก ซึ่งก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมหาศาล ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง
เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ประเทศผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ทั่วโลกจึงหันมาให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาประยุกต์ใช้ เช่น การใช้ไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) ซึ่งเป็นก๊าซไฮโดรเจนที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียนมาทดแทนการใช้ถ่านหินในกระบวนการผลิตเหล็ก ทำให้สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 95%
นอกจากนี้ มาตรการทางการค้าระหว่างประเทศ เช่น มาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป ที่กำหนดให้สินค้าที่นำเข้าต้องรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผลักดันให้อุตสาหกรรมเหล็กทั่วโลกต้องปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น หากผู้ผลิตเหล็กไทยไม่ปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ทันสมัย ก็อาจจะเผชิญกับอุปสรรคในการส่งออกสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศ

การเปลี่ยนแปลงไปสู่การผลิตเหล็กที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นับเป็นโอกาสสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมเหล็กไทยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน (Sustainability) มากขึ้น
ตัวอย่างแนวทางการลดคาร์บอนในอุตสาหกรรมเหล็กทั่วโลก
• จีน : กำลังเร่งพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเหล็กที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ โดยมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงเตาหลอมและการใช้พลังงานสะอาด
• ญี่ปุ่น : เป็นผู้นำในการนำไฮโดรเจนมาใช้ในกระบวนการผลิตเหล็ก เพื่อลดการพึ่งพาถ่านหิน
• กลุ่มสหภาพยุโรป (EU) เช่น เยอรมนี นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย : พัฒนาการใช้เทคโนโลยี Direct Reduced Iron (DRI) ร่วมกับเตาหลอมไฟฟ้า (EAF) ซึ่งเป็นกระบวนการผลิตเหล็กที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าวิธีดั้งเดิม

โอกาสและความท้าทายสำหรับอุตสาหกรรมเหล็กไทย
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ทั้งเป็นโอกาสและความท้าทายสำหรับอุตสาหกรรมเหล็กไทย หากสามารถปรับตัวและนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม ก็จะสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ อาจต้องใช้เงินทุนและความเชี่ยวชาญที่สูง ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับผู้ประกอบการ SME
หนึ่งในผู้ผลิตเหล็กชั้นนำในสเปนมีแผนที่จะเป็นรายแรกในโลกที่ปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2025 โดยมุ่งเน้นไปที่การผลิต "Green Steel" ซึ่งเป็นเหล็กที่ผลิตโดยไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
หนึ่งในวิธีการผลิต Green Steel คือการใช้ "Green Hydrogen" หรือก๊าซไฮโดรเจนที่ผลิตขึ้นโดยกระบวนการที่ไม่ปล่อยคาร์บอน เช่น การอิเล็กโทรลิซิส (Electrolysis) ซึ่งใช้เพียงน้ำและพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน นอกจากนั้น การใช้เตาหลอมไฟฟ้ายังเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการผลิตเหล็ก แต่เตาหลอมไฟฟ้าไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานหมุนเวียนเสมอไป ซึ่งอาจทำให้เหล็กที่ผลิตจากวิธีนี้ไม่ถือว่าเป็น Green Steel เสมอไป
จากข้อมูลของ WEF ที่อ้างอิงโดย Mitsubishi Heavy Industries (MHI) พบว่า ไฮโดรเจนเป็นโซลูชันที่มีความเป็นไปได้สูง โดยการเผาไหม้ไฮโดรเจนจะปล่อยผลพลอยได้เป็นน้ำ ซึ่งช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้มาก

ขณะที่ในประเทศเยอรมนี บริษัท H2 Green Steel มีความมุ่งมั่นที่จะผลิตเหล็กที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกือบเป็นศูนย์ โดยกำลังสร้างโรงงานผลิตเหล็กสีเขียวขนาดใหญ่ที่เมืองโบเดน ประเทศสวีเดน โรงงานนี้จะใช้พลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนและไฮโดรเจนสีเขียวในการผลิตเหล็ก
เหล็กที่ผลิตจากโรงงานนี้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้มากถึง 95% เมื่อเปรียบเทียบกับกระบวนการผลิตเหล็กแบบดั้งเดิม
H2 Green Steel วางแผนที่จะสร้างเตาไฟฟ้าแบบไฮบริด ที่ใช้กระแสไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดและไฮโดรเจนสีเขียว เพื่อแทนที่กระบวนการผลิตเหล็กแบบเดิมในขั้นตอนที่มีการปล่อย CO2 สูง
สถานการณ์อุตสาหกรรมเหล็กไทยในประเทศไทย
ในปี 2024 อุตสาหกรรมเหล็กไทยยังคงเผชิญความท้าทายจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะการนำเข้าเหล็กราคาถูกจากจีนที่ล้นตลาด ส่งผลให้ผู้ผลิตในประเทศต้องแข่งขันด้านราคาอย่างหนัก นอกจากนี้ ต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ยังเป็นปัจจัยกดดันผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม การลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ และการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง ช่วยสร้างความต้องการใช้เหล็กในประเทศให้เติบโตขึ้น

แม้จะมีความท้าทาย แต่ผู้ประกอบการเหล็กไทยได้ปรับตัวด้วยการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เพื่อลดต้นทุน และการหันมาผลิตผลิตภัณฑ์เหล็กที่มีมูลค่าเพิ่มสูงมากขึ้น โดยเฉพาะเหล็กคุณภาพพิเศษสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า นอกจากนี้ การผลักดันมาตรการป้องกันการทุ่มตลาดและการส่งเสริมการใช้เหล็กที่ผลิตในประเทศจากภาครัฐ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับอุตสาหกรรมเหล็กไทยในการเติบโตอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ มาตรการ CBAM หรือ Carbon Border Adjustment Mechanism ของสหภาพยุโรป กำลังส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเหล็กไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเป็นทั้งความเสี่ยงและโอกาสในเวลาเดียวกัน ความเสี่ยงที่สำคัญ คือต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจากการต้องซื้อใบรับรอง CBAM ซึ่งจะส่งผลต่อราคาสินค้าและความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ขณะเดียวกัน CBAM ก็เป็นแรงผลักดันให้ผู้ประกอบการเหล็กไทยต้องปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าและเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ในระยะยาว

มาตรการ CBAM เป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมเหล็กไทย ผู้ประกอบการที่สามารถปรับตัวและมองเห็นโอกาสในวิกฤตจะสามารถเติบโตและแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน
มาตรการ EU-CBAM โจทย์สำคัญที่ผู้ส่งออกเหล็กไทย ต้องพร้อมรับมือ
มาตรการ EU-CBAM หรือ กลไกปรับคาร์บอนที่ชายแดนของสหภาพยุโรป เป็นกฎหมายใหม่ที่สหภาพยุโรปใช้เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยจะเรียกเก็บค่าคาร์บอนจากสินค้าที่นำเข้า เช่น เหล็ก ซึ่งผลิตโดยกระบวนการที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนสูง มาตรการนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ส่งออกเหล็กไทย เพราะจะทำให้ต้นทุนการส่งออกสินค้าเหล็กไปยังสหภาพยุโรปสูงขึ้น และอาจทำให้สินค้าไทยเสียเปรียบในการแข่งขันกับผู้ผลิตในท้องถิ่นที่สามารถผลิตเหล็กได้โดยปล่อยก๊าซคาร์บอนน้อยกว่า
เพื่อรับมือกับมาตรการ CBAM ผู้ประกอบการเหล็กไทยจำเป็นต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน เช่น การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน การหาแหล่งพลังงานทดแทน หรือการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการ CBAM อย่างละเอียด และเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องให้พร้อม เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบได้อย่างถูกต้อง การปรับตัวเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการเหล็กไทยสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดในสหภาพยุโรป และสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจในระยะยาว

การลด ก๊าซเรือนกระจก ของอุตสาหกรรมเหล็กไทย
ขณะที่ อุตสาหกรรมเหล็กไทย กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) เพื่อตอบสนองต่อมาตรฐานสากลและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หนึ่งในแนวทางที่น่าสนใจคือการ เพิ่มการรีไซเคิลเหล็ก ควบคู่ไปกับการ เปลี่ยนเตาหลอมเป็นแบบไฟฟ้า (EAF) ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซจากกระบวนการผลิตเหล็กได้อย่างมีนัยสำคัญ
การรีไซเคิลเหล็ก นับเป็นกลไกสำคัญในการหมุนเวียนทรัพยากรและลดความต้องการเหล็กดิบ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ปล่อยก๊าซ GHG ปริมาณมาก การใช้เตาหลอม EAF นั้นมีข้อดีคือสามารถนำเศษเหล็กที่มีคุณภาพแตกต่างกันมาหลอมรวมกันได้ ทำให้กระบวนการรีไซเคิลเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การใช้พลังงานไฟฟ้าในกระบวนการผลิตยังเปิดโอกาสให้สามารถใช้พลังงานหมุนเวียนได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซ GHG จากภาคพลังงานอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตเหล็กให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนั้นต้องอาศัยการลงทุนที่สูง ผู้ประกอบการเหล็กไทยจำเป็นต้องปรับตัวและปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิตให้ทันสมัย ซึ่งอาจเป็นความท้าทายสำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก บทบาทของภาครัฐ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ประกอบการที่ลงทุนในโครงการลดก๊าซ GHG การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ และการกำหนดนโยบายที่ส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์เหล็กที่ผลิตจากกระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ผู้ผลิตเหล็กไทยจะปรับตัวอย่างไร?
ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กของไทยนับเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด โดยปัจจุบันผู้ผลิตเหล็กของไทยเกือบทั้งหมดมีการใช้เตาหลอม EAF ในการผลิตเหล็กแล้ว อย่างไรก็ดี ยังสามารถพิจารณาการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดในกระบวนการผลิต และการแสวงหาแหล่งพลังงานสะอาดเพิ่มเติมให้เพียงพอ เพื่อทดแทนการใช้พลังงานจากฟอสซิลให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ ยังควรพิจารณาจัดเก็บข้อมูล และติดตามสถานการณ์การปล่อย CO2 ของอุตสาหกรรมเหล็กอีกด้วย
3 แนวทางสู่การผลิตเหล็กที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
อุตสาหกรรมเหล็กกำลังก้าวสู่ยุคใหม่ที่มุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมี 3 แนวทางหลักดังนี้
1. การใช้พลังงานไฮโดรเจน
การแทนที่เชื้อเพลิงฟอสซิลด้วยไฮโดรเจนสีเขียว ซึ่งผลิตจากพลังงานสะอาด จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าปัจจุบันยังมีข้อจำกัดด้านต้นทุนและการผลิตไฮโดรเจนในปริมาณมาก แต่ก็เป็นเทคโนโลยีที่น่าจับตามองในอนาคต

2. การใช้พลังงานหมุนเวียน
การนำพลังงานจากแหล่งธรรมชาติ เช่น พลังงานน้ำ พลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์ มาใช้ในกระบวนการผลิตเหล็ก จะช่วยลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมาก โรงงานเหล็กบางแห่งในยุโรปได้นำแนวทางนี้มาใช้แล้วและได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ
3. การนำเศษโลหะผสมกลับมาใช้ใหม่
การนำเศษโลหะผสมที่เหลือจากกระบวนการผลิตกลับมาใช้ใหม่ จะช่วยลดความต้องการวัตถุดิบดิบ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกระบวนการผลิตโลหะผสมขั้นต้น ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้พลังงานสูงและปล่อยมลพิษมาก
การผสมผสานแนวทางเหล่านี้เข้าด้วยกัน จะช่วยให้อุตสาหกรรมเหล็กสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีนัยสำคัญ และก้าวสู่การเป็นอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนในระยะยาว

มาตรการ CBAM กำลังเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาสำคัญที่ผลักดันให้อุตสาหกรรมเหล็กไทยต้องปรับตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก ผลกระทบของ CBAM กำลังบีบบังคับให้ผู้ประกอบการไทยต้องลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น การใช้พลังงานหมุนเวียนและการนำเศษเหล็กกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังต้องปรับปรุงกระบวนการผลิตและบริหารจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่สหภาพยุโรปกำหนด
อ้างอิง
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย