ช่วงนี้มีการระบาดของโรคชนิดใหม่ๆ
เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประชาชนควรให้ความสนใจกับการดูแลสุขภาพเพิ่มมากขึ้น คณะนิเทศศาสตร์การตลาด
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จึงจัดทำวิจัย หัวข้อ “การรับรู้เกี่ยวกับการตรวจสุขภาพ
และเส้นทางการตัดสินใจซื้อโปรแกรมตรวจสุขภาพของประชาชน”
เพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพของประชาชน
ผลการศึกษาพบว่ามากกว่า 80% ของประชาชนรู้ว่าการตรวจสุขภาพมีประโยชน์
และเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกคนต้องตรวจ แต่มีประชาชนเกือบครึ่งหนึ่งที่ยังสบสนเรื่องระยะเวลา-ความคุ้มค่า-ลักษณะโปรแกรมตรวจสุขภาพที่เหมาะสมกับตนเอง
โดย 47% ของประชาชนรับรู้ว่า การตรวจสุขภาพ คือ “การตรวจร่างกายทุก
6 เดือน” ในขณะที่ 29.75% ไม่แน่ใจ
นอกจากนี้ประชาชนยังคงสับสนเรื่องความคุ้มค่าในการตรวจสุขภาพ โดยไม่รู้-ไม่แน่ใจว่า การตรวจสุขภาพเป็นการใช้จ่ายสิ้นเปลืองโดยไม่เกิดประโยชน์อะไรหรือไม่ (60.75%) ทั้งเกือบครึ่งหนึ่งยังไม่แน่ใจ-รับรู้ว่า โปรแกรมตรวจสุขภาพ “ยิ่งแพง ยิ่งดี” (58.25%) สำหรับการเลือกโปรแกรมตรวจสุขภาพ ประชาชนครึ่งหนึ่งยังคงตอบว่า ไม่รู้-ไม่แน่ใจว่า การตรวจสุขร่างกาย ควรใช้โปรแกรมตรวจสุขภาพที่เหมือนกันในทุกช่วงวัยหรือไม่ (51.25%)
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
สำหรับเหตุผลหลักในการตรวจสุขภาพของประชาชน ได้แก่
(1) อยากรู้เกี่ยวกับสุขภาพของตนเอง (37.95%)
(2) สถานประกอบการ
หน่วยงาน ที่ทำงานมีสวัสดิการตรวจสุขภาพให้ฟรี (26.16%)
(3) มีสัญญาณว่าเป็นโรค/มีความเสี่ยงว่าอาจเกิดโรค
(12.33%)
(4) มีโปรแกรมตรวจสุขภาพให้เลือกหลากหลาย
(10.00%)
(5) มีคนแนะนำให้ตรวจสุขภาพ
(9.73%)
(6) มีสิทธิพิเศษ
(มีคูปองตรวจฟรี) (3.01%)
(7) เหตุผลอื่นๆ เช่น ตรวจสุขภาพสำหรับใช้สมัครงาน (0.82%)
รวมทั้งผลการวิจัย ได้ค้นพบเส้นทางการตัดสินใจซื้อโปรแกรมตรวจสุขภาพของประชาชนที่น่าสนใจ
ดังนี้
ประชาชนมีการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับโปรแกรมตรวจสุขภาพที่สนใจผ่านทาง
(1) เว็บไซต์ (29.52%)
(2) สอบถามจากสถานที่ที่ซื้อโปรแกรมตรวจสุขภาพ
(22.58%)
(3) สื่อสังคมออนไลน์อื่นๆ
อาทิ Facebook/ IG/YouTube/ Twitter/ เพจเกี่ยวกับสุขภาพ (20.70%)
(4) การรีวิวจากผู้เคยมีประสบการณ์จริง (อาทิ พันทิปดอทคอม) (13.10%)
ประชาชนเกือบทั้งหมดจะมีการเปรียบเทียบข้อมูลก่อนการซื้อโปรแกรมตรวจสุขภาพ
(91%) โดยข้อมูลที่เปรียบเทียบได้แก่
(1) ราคา (21%)
(2) โปรแกรมที่ตรวจ (20.88%)
(3) ความน่าเชื่อถือของสถานที่
(15.80%)
(4) โปรโมชั่น (เช่น
ส่วนลด/ของสมนาคุณ) (15.43%)
(5) ความเชี่ยวชาญของทีมแพทย์
(9.85%)
(6) ความทันสมัยของอุปกรณ์/
เครื่องมือทางการแพทย์ (9.36%)
(7) การรักษาหรือการดูแลผู้ใช้บริการ (7.62%)
ขณะที่พฤติกรรมการซื้อโปรแกรมการตรวจสุขภาพของประชาชน จะซื้อที่โรงพยาบาลเอกชน (52.92%) และโรงพยาบาลรัฐบาล (29.71%) ตามลำดับ โดยช่องทางในการซื้อคือ เข้าไปซื้อที่สถานที่เอง (walk-in) (55.25%) รองลงมาคือ ซื้อผ่านเว็บไซต์ (15.02%) และซื้อตามงานจัดแสดงด้านสุขภาพ (event) และซื้อผ่านบริษัทประกันในสัดส่วนใกล้เคียงกัน (12.60% และ 12.28% ตามลำดับ)
สำหรับเหตุผลที่ตัดสินใจซื้อ ได้แก่
(1) ความน่าเชื่อถือของสถานที่ เช่น โรงพยาบาล ห้องแล็บ (28.21%)
(2) ราคาเหมาะสม (27.00%)
(3) ทีมแพทย์มีความเชี่ยวชาญ
(17.88%)
(4) อุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์มีความทันสมัย
(15.46%)
(5) ผู้ใช้บริการได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
(10.05%)
(6) เหตุผลอื่นๆ เช่น โปรแกรมตรวจสุขภาพตรงกับที่ต้องการ บริษัทจัดหาให้
และมีสิทธิประกันสังคม (1.40%)
นอกจากนี้ ผลการศึกษาพบว่า
ประชาชนรับรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ “การตรวจสุขภาพ” จากสื่อออนไลน์
และออฟไลน์ในสัดส่วนใกล้เคียงกัน ในขณะที่ประชาชนหาข้อมูลเกี่ยวกับ “โปรแกรมตรวจสุขภาพ”
ผ่านสื่อออนไลน์มากกว่าออฟไลน์เกือบเท่าตัว
จากผลการศึกษาที่เกิดขึ้นพบว่า
ผู้ที่มีอิทธิพลต่อการตรวจสุขภาพและการซื้อโปรแกรมตรวจสุขภาพ
คือตัวของผู้บริโภคเอง ดังนั้นนักสื่อสารการตลาดที่เกี่ยวข้องอาจพิจารณาสื่อสารโดยตรงไปยังกลุ่มเป้าหมายผ่านสื่อที่ถึงตัว
อาทิ สื่อสารผ่านอีเมล การสื่อสารผ่าน Direct
Marketing การจัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าโดยตรง
รวมทั้งโรงพยาบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรตั้ง Hotline เพื่อให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการตรวจสุขภาพ หรือการเลือกโปรแกรมตรวจสุขภาพ หรือพัฒนาศูนย์บริการโทรศัพท์ให้มีความเป็นมืออาชีพ ให้สามารถตอบคำถาม และแนะนำสินค้าและบริการ ตลอดจนสร้างความประทับใจต่อองค์กรได้