ความยืดเยื้อของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ
และจีน ปรากฎออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดสหรัฐ
ได้ปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯจาก 10%
เป็น 25% ในสินค้ากลุ่มที่ 2
รวม 5,745
รายการ มูลค่ากว่า 2
แสนล้าบาทมีผลเมื่อวันที่ 10
พฤษภาคมที่ผ่านมา หลังจากการเจรจาระหว่างผู้นำทั้งสองฝ่ายไม่เป็นผล
ขณะที่ฝ่ายจีนได้ประกาศขึ้นภาษีตอบโต้ในสินค้า 60,000
รายการ แถมลดค่าเงินหยวน
แต่นี่ก็คือโอกาส
ผู้ส่งออกและนักลงทุนควรใช้โอกาสนี้หันขยายไปยังสหรัฐฯ หรือจีน
เพื่อทดแทนการส่งออกสินค้า 2 ประเทศ
โดยเฉพาะตลาดจีนซึ่งมีประชากรกว่า 1,300
ล้านคน มีความต้องการบริโภคสินค้าจำนวนมาก
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
ทั้งนี้
ผู้ส่งออกจะต้องศึกษาลู่ทางการใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี
ที่สามารถเชื่อมโยงไปตลาดจีนได้ดียิ่งขึ้นซึ่งในเดือนมิถุนายน 2562
ไทยและสมาชิกอาเซียนต้องเตรียมใช้ประโยชน์จากความตกลงเปิดเขตการค้าเสรี 2
ฉบับ ที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ คือ
ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน–ฮ่องกง
(ASEAN-Hong Kong Free Trade Agreement : AHKFTA) ภายหลังจากเมียนมา
สิงคโปร์ เวียดนามรวมถึงไทยได้แจ้งความพร้อมที่จะใช้ความตกลงฉบับดังกล่าวแล้ว
และจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 11
มิถุนายน เป็นต้นไป
ความตกลงว่าด้วยการลงทุนระหว่างอาเซียน-ฮ่องกง
(ASEAN-Hong Kong Investment Agreement: AHKIA) จะมีผลใช้บังคับในวันที่
17 มิ.ย.2562 ภายหลังจากฮ่องกง สปป. ลาว เมียนมา สิงคโปร์
และไทย ได้แจ้งความพร้อมในการใช้แล้วเช่นเดียวกัน
ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการบังคับใช้ความตกลงทั้ง 2 ฉบับในด้านการค้า อาเซียนจะได้ประโยชน์จากการที่ฮ่องกงตกลงว่าในอนาคตจะไม่ขึ้นภาษีสินค้าจากปัจจุบันฮ่องกงเก็บภาษีอัตรา 0% ทุกรายการภายใต้ AHKFTA
ทั้งนี้
การลดภาษีผลักดันการส่งออกสินค้าไทยเข้าสู่ตลาดฮ่องกงได้เพิ่มมากขึ้น
และยังเจาะเข้าสู่ตลาดจีนได้ด้วย
ส่วนฮ่องกงจะได้ประโยชน์จากการที่อาเซียนลดภาษีศุลกากรให้สินค้านำเข้าจากฮ่องกงในอัตราภาษีที่ต่ำลง
ประโยชน์ด้านการค้าบริการ “ฮ่องกง”
จะเปิดตลาดภาคบริการให้อาเซียนมากกว่าที่ผูกพันภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO)
โดยเฉพาะการเปิดตลาดการค้าบริการเพิ่มเติมตามที่ไทยเรียกร้องในสาขาบริการด้านการผลิตเนื้อหารายการแก่ผู้ประกอบการวิทยุกระจายเสียงและโทรทัศน์
โดยไทยสามารถถือหุ้นได้100%
แบบไม่มีเงื่อนไข ผู้ประกอบการไทยที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาที่เปิดเสรีจะสามารถเข้าไปดำเนินธุรกิจได้อย่างครบวงจรในฮ่องกง
อีกด้านหนึ่งฝ่าย
ไทยอนุญาตให้ผู้ให้บริการของฮ่องกงเข้ามาลงทุนในไทย จำนวน 74
สาขาย่อย โดยสามารถถือหุ้นได้ เช่น ร้อยละ 75
ในสาขาบริการให้คำปรึกษาในการร่างเอกสารเกี่ยวกับกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ
(ไม่รวมกฎหมายในประเทศ) ร้อยละ 49
ในสาขาบริการผลิตและจัดจำหน่ายภาพยนตร์และวีดีทัศน์ ร้อยละ 40
ในสาขาบริการวีดีโอเท็กซ์ และร้อยละ 25
ในสาขาบริการให้เช่าวงจร เป็นต้น
ที่โดดเด่นอย่างมากคือ ประโยชน์ด้านการลงทุน ความตกลง AHKIA ครอบคลุมด้านการคุ้มครองการลงทุนและการอำนวยความสะดวกด้านการลงทุนให้กับนักลงทุนของอาเซียนและฮ่องกง อาทิ คุ้มครองนักลงทุนหลังจากที่ได้เข้ามาจัดตั้งธุรกิจ การปฏิบัติที่เป็นธรรมและเท่าเทียมกับนักลงทุนในประเทศ กระบวนการยื่นขออนุมัติการลงทุนที่สะดวกขึ้น และการส่งเสริมการเผยแพร่ข้อมูลด้านการลงทุนระหว่างอาเซียนกับฮ่องกง เป็นต้น
หลังจากความตกลงนี้มีผลบังคับใช้
จะทำให้การจัดตั้งธุรกิจเกิดความสะดวกมากขึ้น
เพราะจะมีการอำนวยความสะดวกตั้งแต่กระบวนการยื่นขออนุมัติการลงทุนดำเนินธุรกิจ
ทั้งยังสามารถเข้าถึงข้อมูลด้านกฎระเบียบของฮ่องกงมากขึ้น
และยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนฮ่องกงที่มาลงทุนในไทยและนักลงทุนไทยที่ไปลงทุนในฮ่องกงอีกด้วย