"ฮ่องกง"
เป็นตลาดที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในธุรกิจบริการ
ด้วยเหตุที่ฮ่องกงได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางทางการเงินและโลจิสติกส์
ทั้งยังเป็นประตูการค้าที่เชื่องกับ “จีน” เป็นหนึ่งในโครงข่ายตามนโยบายสร้างเส้นทางเศรษฐกิจยุคใหม่หรือที่เรียกว่า
One
Belt One Road ของจีน
ที่สำคัญ “ฮ่องกง” กำลังจะต่อยอดความสัมพันธ์การค้าร่วม โดยการริเริ่มโครงการ Greater Bay เชื่อมโยง 9 เมืองในมณฑลกวางตุ้ง และมาเก๊ามาร่วมกัน เป็น World Class City หรือ คลัสเตอร์เมืองเศรษฐกิจ ที่จะใช้จุดแข็งของแต่ละแห่งมาเสริมกัน จัดตั้งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ เชื่อมโยงประชากรรวม 15 ล้านคน
ทว่าการชุมนุมประท้วงที่ยืดเยื้อมานานกว่า 5
เดือน ส่งผลกระทบต่อการดำเนินโยบายทางเศรษฐกิจ และการจัดกิจกรรมสำคัญๆ เช่น
งานประชุมประจำปีสายการบินแห่งเซียแปซิฟิก การจัดพาเหรด Pride
ของเพศที่ 3 เทศกาลพลุไฟ เทนนิสฮ่องกง โอเพ่น การแข่งขันรถยนต์ Formular
E-Prix ต่างต้องยกเลิกการจัดกิจกรรมลงทั้งหมด
มีการประเมินว่าผลกระทบจากการชุมนุมในช่วงเดือนสิงหาคม
2562 ซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง 40%
และมีอัตรการเข้าพักโรงแรมต่ำกว่า 50%
ส่งผลกระทบเชื่อมโยงไปถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ทั้งธุรกิจร้านอาหาร
และล่าสุดยังมีการยกเลิกกิจกรรมคอนเสิร์ตใหญ่หลายงาน
ประเด็นนี้ทำให้ฮ่องกงถูกลดเรทติ้งจาก +AA เป็น AA
และอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไตรมาส 3 ปี 2562 อยู่ที่ 3.2%
ซึ่งน่าจะทำให้จีดีพีทั้งปีติดลบ 1.3% จากเดิมที่เคยคาดการณ์ว่าจะเติบ 1%
อย่างไรก็ตาม
หลังจากนี้ยังต้องติดตามสถานการณ์การประท้วง
และผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับนโยบายหลักทางเศรษฐกิจ อย่าง
"แผนบริหารและพัฒนาฮ่องกง" ในช่วง 5 ปี (2561-2565) ซึ่งนาง Carrie
Lam เคยแถลงไว้
แผนดังกล่าวเน้นการพัฒนา 4 เสาหลักสำคัญของฮ่องกอง
ประกอบด้วย
1) เศรษฐกิจระหว่างประเทศ เชื่อมโยง One
Belt One Road
2) เทคโนโลยีและนวัตกรรม
3) Smart City เพื่อพัฒนาระบบคมนาคมอัจฉริยะทุกประเภท
(Smart Mobility) การพัฒนาระบบการใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาด (Smart
Living) การส่งเสริมการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า (Smart
Environment) การส่งเสริมประชาชนให้เข้าถึงเทคโลยีและบริการของรัฐ (Smart
People) การพัฒนระบบให้บริการของรัฐ (Smart Government) และการส่งเสริมการดำเนินธุรกิจโดยใช้ระบบอัจฉริยะ (Smart Economy) และ
4) อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ซึ่งทั้งหมดนี้รัฐบาลได้วางประประมาณในการดำเนินการด้านต่างๆไว้รวม 50,000-60,000 ล้านเหรียญฮ่องกง
ที่สำคัญผลกระทบจากการประท้วงทำให้การค้าและการลงทุนกับฮ่องกงกับต่างประเทศอาจจะสะดุด
โดยคู่ค้าสำคัญอย่างอาเซียนยังคงต้องประเมินถึงผลกระทบจากการชุมนุมซึ่งทำให้การค้าและการลงทุนไม่คึกคักเท่าที่ควร
ทั้งที่ได้มีการทำความตกลงอาเซียน-ฮ่องกง
และความตกลงด้านการลงทุนอาเซียน-ฮ่องกง
ซึ่งเพิ่งจะมีผลบังคับใช้เมื่อเดือนมิถุนายน 2562 ที่ผ่านมา
หวังจะเพิ่มมูลค่าการค้าและการลงทุนระหว่างกันก็อาจจะไม่สะดวกนัก
เฉพาะในส่วนของไทยเองเป็นพันธมิตรที่แนบแน่นกับฮ่องกงมาโดยตลอด
ทั้งจากการพบกันระหว่างผู้นำด้านเศรษฐกิจนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี
และนางแครรี่ แลม ในหลายครั้งในรอบปีที่ผ่านมา และที่ฮ่องกงเพิ่งเข้ามาเปิดสำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกงในไทยเป็นอันดับ
16 ของโลก เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา หวังจะเชื่อมโยงเป็นประตูสู่ประเทศจีนอีกทางหนึ่ง
โดยจนถึงขณะนี้มูลค่าการค้าระหว่างไทยและฮ่องกง
จากตัวเลขทางกระทรวงพาณิชย์ พบว่า ช่วง 9 เดือนแรก (มกราคม-กันยายน) การค้าไทย-ฮ่องกง
มีมูลค่า 10,880 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 11.64% โดยไทยส่งออก 8,971.01
ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 7.99% และนำเข้า 1,909.86 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 25.53%
หากเหตุการณ์ยังบานปลายอาจจะทำให้บรรยากาศการค้าและการลงทุนซบเซาลงก็เป็นได้