การดำเนินธุรกิจในยุคนี้
เป็นการคำนึงถึงแหล่งวัตถุดิบที่มีความหลากหลาย และคุ้มค่าต่อการร่วมมือหรือลงทุนร่วมกัน
ความยืดหยุ่นในการผลิต มาตรฐานในกระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์
โดยอยู่บนพื้นฐานภายใต้ข้อตกลงทางการค้าและความพึงพอใจของลูกค้าที่เปลี่ยนไป
ดังนั้นธุรกิจจึงต้องดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลให้เป็นไปตามหลักมาตรฐานสากล
มีความรวดเร็วในการส่งมอบสินค้าและบริการ ด้วยคุณภาพที่ดีกว่า ราคาถูก
มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย รวมถึงการมีนวัตกรรมที่เหนือคู่แข่งขันในท้องตลาด
ด้วยบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป จึงทำให้กระบวนการทำงานในการผลิตสินค้าหรือบริการในการดำเนินธุรกิจที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้า มุ่งเน้นไปที่การลดต้นทุนที่จะทำให้เกิดความประหยัดและลดความสูญเปล่าที่อันอาจจะเกิดขึ้นในกระบวนการการทำงานให้น้อยที่สุด รวมทั้งจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถของพนักงานให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพ (Efficiency) ในกระบวนการทำงานอีกด้วย จึงมีการนำแนวคิดการขจัดความสูญเปล่า 7 ประการ (7 Waste) มาประยุกต์ใช้ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
1. ความสูญเสียที่เกิดจากการผลิตมากเกินไป
(Overproduction)
จะเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าถึงความต้องการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
เพื่อไม่ให้เสียโอกาสในการขายสินค้าหรือบริการ
และเตรียมพร้อมในตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างทันท่วงที
รวมถึงการผลิตสินค้ามากกว่าที่ลูกค้าต้องการและการผลิตสินค้าก่อนความต้องการ
อันทำให้เกิดต้นทุนเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบ แรงงาน ค่าจัดเก็บสินค้า
บรรจุภัณฑ์ การขนส่ง เป็นต้น
2. ความสูญเสียที่เกิดจากการรอคอย (Waste of Waiting)
เกิดจากการขาดความสมดุล อันเนื่องมาจากการวางแผนการไหลของวัตถุดิบในกระบวนการผลิตที่ไม่ลงตัวหรือไม่ดีพอ
ไม่ว่าจะเป็นจากความไม่สมดุลความเร็วในการผลิต ความล่าช้าในการผลิต
ระยะทางระหว่างกระบวนการผลิตที่ห่างไกลกัน การเติมวัตถุดิบในคลังสินค้า
ความไม่สัมพันธ์ของเครื่องจักรอัตโนมัติกับพนักงานที่ทำงานแบบ Manual หรือแม้กระทั่งจากความสามารถของพนักงานเก่ากับพนักงานใหม่ในการส่งมอบงานต่อกัน
เป็นต้น
3.
ความสูญเสียที่เกิดจากการขนส่ง (Waste of
Transportation)
มีหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะมาจากการเดินทางหรือการเคลื่อนย้ายวัตถุดิบทั้งก่อน
ระหว่าง หรือหลังกระบวนการผลิต การจัดเก็บในคลังสินค้า/สินค้าคงคลัง
การขนย้ายไปไว้ชั่วคราว ณ แห่งใดแห่งหนึ่ง
หรือการขนส่งวัตถุดิบ/สินค้ากึ่งสำเร็จระหว่างโรงงาน เป็นต้น
4.
ความสูญเสียที่เกิดจากการคลังสินค้าและสินค้าคงคลัง (Waste of Warehouse and Inventory)
คลังสินค้าและสินค้าคงคลังมักเป็นการทำงานคู่กัน
โดยจะต้องประสานกันในเรื่องของวัตถุดิบในการผลิต วัตถุดิบระหว่างการผลิต
สินค้ากึ่งสำเร็จรูป หรือสินค้าสำเร็จรูป
โดยจะต้องไม่ให้มีการเก็บไว้มากเกินความจำเป็น หรือการใช้ในกระบวนการการผลิต
รวมถึงการกำหนดพื้นที่ในเก็บรักษา
และอุปกรณ์ที่ใช้ในวางเรียงจัดเก็บภายในคลังสินค้า
หากละเลยการใช้วัตถุดิบและสินค้ากึ่งสำเร็จรูปหรือสินค้าสำเร็จรูป ไว้ในสต็อกนานจนเกิดความเสียหายจัดเป็นของเสีย
5.
ความสูญเสียที่เกิดจากของเสียมากเกินไป (Waste
of Defect)
มักเกิดจากการผลิตที่ผิดพลาด การผลิตเป็นจำนวนมาก (Mass Production)
การซ่อมหรือการปรับแต่งเครื่องจักรที่ยังไม่ลงตัว
หรือเกิดจากการตรวจนับของเสียที่ผิดพลาด รวมถึงจากการนำงานเก่ามาแก้ไขใหม่อีกด้วย
6. ความสูญเสียที่เกิดจากกระบวนการการผลิตและกระบวนการทำงานมากเกินไป
(Waste of Processing)
มักจะมีการออกแบบกระบวนการผลิต/การทำงานที่มีขั้นตอนมากเกินความจำเป็น
จนนำไปสู่ความซ้ำซ้อนในการทำงาน ความไม่สะดวกสำหรับพนักงานในการทำงาน
รวมถึงมีการตรวจสอบทุกๆ จุดกระบวนการทำงาน ดังนั้นการตรวจสอบกระบวนการผลิต/การทำงานที่ไม่ก่อให้เกิดผลผลิตที่เพิ่มขึ้น
จึงเป็นสิ่งที่ควรนำทบทวนตลอดเวลา
7. ความสูญเสียที่เกิดจากการเคลื่อนไหวมากเกินไป (Waste of Motion)
มักจะพบได้ภายในโรงงานทั่วไป โดยเกิดจากการออกแบบสภาพการทำงานที่ไม่เหมาะสม และขาดมาตรฐานในการทำงาน ส่งผลให้คุณภาพของงานที่ออกมาไม่มีความสม่ำเสมอ หรือต้องใช้เวลาในการทำงานมากขึ้น
4 วิธีลดความสูญเสียในกระบวนการทำงาน
1. พยากรณ์ความต้องการของลูกค้า (Forecasting Demand)
จะช่วยให้บริษัท/องค์กร สามารถกำหนดทิศทางในกำลังการผลิตและบุคลากรในการวางแผนการผลิต
รวมถึงทราบถึงปริมาณความต้องการของผลิตภัณฑ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
เพื่อวางแผนเตรียมปัจจัยในการผลิต
2. นำระบบการสั่งซื้อแบบทันเวลามาใช้ (Just in Time : JIT)
ใช้ในการแก้ปัญหาดังกล่าวในการผลิต
ซึ่งก็จะสามารถแก้ไขทั้งปริมาณการผลิต ปริมาณของเสียได้อีกด้วย
รวมทั้งปรับการจัดวางผังโรงงานที่ดี (Plant Layout)
ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่สามารถช่วยได้
3. ตรวจสอบการทำงานของพนักงานหน้างานให้มากขึ้น
หากเกิดการผิดพลาดของกระบวนการในจุดใดจุดหนึ่ง ต้องรีบหาสาเหตุ (Problem Solving Process)
และแก้ไขให้เสร็จสิ้นโดยเร็วก่อนการผลิตใหม่จะเริ่มขึ้น
รวมถึงการกระตุ้นสร้างจิตสำนึกให้พนักงานมีส่วนร่วมในการลดความสูญเสียที่เกิดขึ้น
และการให้รางวัลเพื่อสร้างแรงจูงใจในการทำงานที่มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น
4. การจัดทำกิจกรรม 5 ส
ประกอบด้วย สะสาง (SEIRI) สะดวก
(SEITON) สะอาด (SEISO) สุขลักษณะ
(SEIKETSU) สร้างนิสัย (SHTSUKE) ซึ่งเมื่อมีการทำ 5 ส อย่างจริงจังและต่อเนื่อง
จะพบว่าที่ทำงานหรือสถานประกอบการของเรานั้นมีความปลอดภัย มีบรรยากาศน่าทำงาน
ไม่มีความสูญเปล่าเกิดขึ้นในการทำงาน ลดการซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ของใช้ต่างๆ
นอกจากนี้ยังสามารถช่วยลดอัตราของเสีย (Defects) จากการผลิต
ลดการเก็บสินค้าหรือการมีของคงคลัง (Excess Stock) ที่ไม่จำเป็นให้น้อยลง
อันจะยังผลให้หน่วยงานมีความมั่นคงเข้มแข็งได้
การลดความสูญเสียในกระบวนการทำงาน
นอกจากจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจแล้ว ยังช่วยลดมลภาวะ มลพิษต่างๆ นอกจากนี้ทำให้คุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานดีขึ้นอีกด้วย
แหล่งอ้างอิง : กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม