แม้คำสอนตามหลักศาสนาพุทธ
จะสอนว่าร่างกายคนเราเป็นสิ่งเน่าเหม็น ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง
เป็นสิ่งที่เรายืมใช้ สักวันก็ต้องกลับคืนสู่ธาตุทั้ง 4 หรือ ดิน น้ำ ลม ไฟ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า
ความสวย ความหล่อ คือสิ่งเย้ายวนที่เรายึดติดประการหนึ่ง หน้าตาดี บุคลิกดี
อาจหมายถึงโอกาสในด้านต่างๆ ดีตามด้วย
ด้วยเหตุนี้ ‘ตลาดความงาม’ จึงเป็นเทรนด์ที่จะยังคงเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งไม่จำกัดเฉพาะเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ความงามที่จำกัดเฉพาะผู้หญิง แต่ ‘ตลาดชายงาม’ ก็เป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตไม่แพ้กัน เพราะไม่ว่าสมัยนี้หรือสมัยไหน ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง ยังคงใช้ได้ผลเสมอมา
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ด้วยเหตุนี้
ตลาดชายงาม หรือ Men's Grooming
ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ชายที่เริ่มดูแลตัวเองมากขึ้น ทั้งเครื่องสำอาง
ของใช้เพื่อการดูแลรูปร่าง สินค้าแฟชั่น
ซึ่งปัจจุบันพฤติกรรมผู้ชายชาวเอเชียได้เปลี่ยนไป
จากแต่ก่อนที่ธุรกิจความงามก็ไม่ได้มุ่งไปที่กลุ่มลูกค้าเฉพาะผู้หญิงอีกต่อไป
เมื่อยุคนี้มีลูกค้าผู้ชายที่ใส่ใจภาพลักษณ์เเละดูเเลตัวเองเพิ่มขึ้นจำนวนมาก
จึงเป็นโอกาสดีสำหรับแบรนด์ในการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ ‘สำหรับผู้ชาย’เเละผลิตภัณฑ์ความงามแบบ Personalization หรือ Customization
ก็กำลังจะมาแรงในปีนี้
จากรายงาน Beauty Trends in Asia ของ Kantar บริษัทด้านข้อมูลเชิงลึกและที่ปรึกษาทางการตลาด กล่าวถึงสิ่งที่จะขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดความงามในเอเชียของปีหน้าว่า
ความเป็นธรรมชาติที่ช่วยให้ผู้บริโภคมีสุขภาพผิวที่ดี เครื่องสำอางในลุคธรรมชาติ
และผลิตภัณฑ์ความงามสำหรับผู้ชาย มียอดขายผลิตภัณฑ์ด้านความงามเพิ่มขึ้นถึง 8%
ระหว่างปี 2017 – 2018 เทียบกับผลิตภัณฑ์ FMCG (Fast
Moving Consumer Goods) ที่เพิ่มขึ้นเพียง 4%
เจาะตลาดชายงามแดนภารตะ
ข้อมูลจากรายงานของสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครมุมไบ อินเดีย ได้อ้างอิงผลการศึกษาของ ASSOCHAM หอการค้าและอุตสาหกรรมทีเก่าแก่และใหญ่ทีสุดของอินเดีย
ระบุว่า อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สําหรับผู้ชายในอินเดีย จะมีอัตราเติบโตต่อปีสูงถึง
45% และอีกไม่นานจะมีมูลค่าสูงถึง 350,000 ล้านรูปี (ประมาณ 5.5
พันล้านเหรียญสหรัฐ) จากปัจจุบันมีมูลค่า 168,000 ล้านรูปี
ข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงศักยภาพมหาศาลของตลาดผลิตภัณฑ์สําหรับผู้ชายในอินเดีย
และดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติสําหรับไลฟ์สไตล์ของผู้ชายอินเดียในปัจจุบัน
และจากรายงานการศึกษาของ Mintel บริษัทผู้เชียวชาญด้านการวิจัยตลาดชันนําของโลกกล่าวถึง
ผู้ชายอินเดียเฉลี่ยแล้วใช้เวลา 16 นาที สําหรับการแต่งกาย 14 นาที
สําหรับการจัดแต่งทรงผม และ 12 นาทีสําหรับการดูแลใบหน้า
โดยเฉพาะผู้ชายในเมืองใหญ่ทีต้องการให้ตัวเองเป็นทีน่าสนใจ
โดยผู้ชายอินเดียส่วนใหญ่ให้ความสนใจในการดูแลตัวเองน้อยมาก
เช่น การใช้ครีมชนิดเดียวสําหรับทั้งใบหน้าและลําตัว
และน้ำมันใส่ผมทีหาได้ทั่วไปตามท้องตลาด
แต่ในปัจจุบันเทรนด์การดูแลตัวเองและใส่ใจสุขภาพ
ของผู้ชายกําลังจะดําเนินรอยตามผู้หญิง จะเห็นได้จากร้านตัดผมใต้ต้นไม้ริมข้าง
ทางดูเหมือนจะไม่เป็นทีนิยมอีกต่อไปแล้ว เมื่อผู้ชายต้องการทีจะสร้างจุดสนใจให้คนรอบข้าง
ด้วยการมีรสนิยมทีสื่อออกมาให้เป็นที่ยอมรับ
การดูแลตัวเองของผู้ชายจึงไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อให้ดูเรียบร้อยและเหมาะสมเท่านั้น
แต่ต้องดูดีและตามแฟชั่นด้วย ดังนั้นการตลาดของผู้ชายสําอางจึงต้องมีความละเอียดมากขึ้นเช่นเดียวกันกับผู้หญิง
นอกจากนี้ยังพบว่า
หลายปีที่ผ่านมาธุรกิจสปาและร้านเสริมสวยเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งรายได้มาจากกลุ่มผู้ชายถึง
45% และจากการวิเคราะห์ของ PGA Labs ตลาดของเมนส์กรูมมิ่งในอินเดียอยู่ที 1.28 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2559
และมีมูลค่า 2.6 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2561 ซึ่งจากอัตราเติบโตเฉลี่ยแบบทบต้น
36% คาดว่าภายในปี 2564 จะมีมูลค่าถึง 5.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลแสดงถึงการเติบโตของประชากรเพศชายในอินเดีย ที่อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 15-34 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยทีใส่ใจตัวเองเป็นพิเศษ ทั้งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนือง และคาดการณ์ว่าในปี 2564 จะมีจํานวนผู้ชายอินเดียสูงขึ้นกว่า 251 ล้านคน
โอกาสผู้ประกอบการไทย
จากข้อมูลทีกล่าวมาข้างต้น ทําให้เห็นถึงแนวโน้มการตลาดของการบริโภคสําหรับเพศชายในอินเดีย
เพื่อให้ผู้ประกอบการรายใหม่
รวมไปถึงผู้ประกอบการทีมีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการดูแลตัวเอง ได้นําข้อมูลเหล่านี้สําหรับเป็นแนวทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ของผู้บริโภคเฉพาะกลุ่มได้ตรงจุด
โดยผลิตภัณฑ์สําหรับกลุ่มตลาดผู้บริโภคระดับชนชั้นกลางทีมีกําลังซื้อสูงของอินเดีย
จะต้องคํานึงถึงปัจจัยต่างๆ อาทิ การพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค
มีความปลอดภัย และเป็นผลิตภัณฑ์ทีเฉพาะเจาะจง (Personalization)
การแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด และปรับขนาดบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้มีการทดลองคุณภาพสินค้า
รวมทั้งกําหนดราคาที่เหมาะสมเพื่อให้แข่งขันในตลาดได้
รวมทั้งผู้ส่งออกไทยอาจใช้แต้มต่อ จากการลดภาษีของอินเดียภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียนอินเดีย
ซึ่งมีภาษี 0-5% ประกอบการขยายโอกาสส่งออกของไทย
ขณะเดียวกันการเติบโตของการค้าแบบข้ามแดน หรือ Cross
Border E-Commerce ในตลาดอินเดียโตอย่างมาก
และที่สำคัญจากรายงานอีคอมเมิร์ซอินเดียวฉบับล่าสุด
ระบุว่าพฤติกรรมการซื้อของในช่องทางออนไลน์ของผู้ชายอินเดียมีสัดส่วนมากกว่าผู้หญิงถึงเท่าตัว
กรณีนี้ผู้ค้าออนไลน์ในไทยสามารถใช้แพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ เจาะตลาดชายงามอินเดียได้อีกช่องทางหนึ่ง
ผ่านแพลตฟอร์มที่ขายสินค้าทั่วไปอย่าง Flipkart และ Amazon ที่สามารถเข้าถึงตลาดระดับโลกได้พร้อมกัน
แต่ถ้าต้องการเข้าสู่แพลตฟอร์มของอินเดียที่คนท้องถิ่นคุ้นเคย เช่น Nykaa ,
NewU และ Purplle ที่เน้นงานสินค้าเพื่อความงามและสุขอนามัย
ต้องเข้าไปจดทะเบียนธุรกิจในอินเดีย ก่อนทำบัตรประจำตัว เปิดบัญชีธนาคาร
และนำเลขบัญชีไปใช้ในการจดทะเบียนธุรกิจเพื่อให้สามารถขายสินค้าได้
สุดท้ายตลาดที่มีผู้ชายกว่า 251 ล้านคน ใส่ใจรูปร่างหน้าตาเป็นพิเศษ ย่อมเป็นตลาดที่เย้ายวน แม้การจะเจาะกลุ่มนี้อาจไม่ง่ายนัก แต่ก็เป็นโอกาสที่น่าลิ้มลองอย่างยิ่ง