อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
รายงานผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้สถานประกอบการใช้มาตรา 75 หยุดกิจการชั่วคราว
นับตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม 2562 ถึงเดือนกรกฎาคม 2563 โดยมีสถานประกอบการหยุดกิจการชั่วคราว 4,458 แห่ง
ส่งผลกระทบต่อลูกจ้างสูงถึง 896,330 คน และลูกจ้างที่ว่างงานจากกรณีลาออก
เลิกจ้างจากการปิดกิจการ 332,060 คน รวมทั้งมีผู้ประกันตนตามมาตรา
33 ที่ใช้สิทธิประโยชน์กรณีว่างงานฯ 62%
กว่า 1,369,589 คำร้อง
ทั้งคาดจะมีเพิ่มขึ้นอีกในช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคม 2563 หากมีการขยายมาตรการฯ กว่าอีก 800,000 คน รวมจะมีลูกจ้างในระบบที่ได้รับผลกระทบแล้วกว่า 3,397,979 คน
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ขณะเดียวกันภาคเอกชนได้เสนอมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือและเยียวยา
7 ข้อ ดังนี้
1. ลดเงินสมทบประกันสังคมทั้งฝั่งนายจ้างและลูกจ้างเหลือร้อยละ
1 โดยให้มีผลจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม
2563
2. เพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัยจาก
90 วัน เป็น 150 วัน
และขยายระยะเวลาการขอรับสิทธิประโยชน์ จากเดิมวันที่ 31 สิงหาคม
2563 เป็นจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563
3. เร่งพิจารณาการอนุมัติให้สามารถปรับการจ้างงานเป็นรายชั่วโมงได้
โดยคิดค่าจ้างในอัตราชั่วโมงละ 40-41 บาทต่อชั่วโมง ระยะเวลาจ้างขั้นต่ำ 4-8 ชั่วโมงต่อวัน
4. ขอให้ภาครัฐเร่งพิจารณาการรับรองการอบรมออนไลน์เป็นส่วนหนึ่งของวิธีการจัดอบรม
ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. 2545
5. ขอปรับอัตราเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน
ตาม พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ. 2537 เหลือร้อยละ 0.01
6. โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบ
ดอกเบี้ยร้อยละ 0.1 ต่อปี
7. จัดสรรกองทุนเยียวยาผู้ประกอบการเพื่อรักษาเสถียรภาพการจ้าง
โดยให้เงินเยียวยาแก่ลูกจ้างผ่านนายจ้าง
นอกจากนี้เสนอให้สํานักงานเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(สศช.)
พิจารณาบรรจุโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาประสิทธิภาพแรงงาน Upskill/Reskill ให้อยู่ภายใต้กรอบนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ (งบ 400,000ล้านบาท) เพื่อรับรองการเปลี่ยนแปลงในยุค New Normal
เอกชนเปิดแผนฟื้นฟูหลังโควิด-19 มุ่งสนับสนุนสินค้าไทย
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
และประธานคณะอนุกรรมการฟื้นฟูหลัง COVID-19 ระบุว่า คณะอนุกรรมการฟื้นฟูหลัง
COVID-19 ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการวางแผนฟื้นฟูในระยะกลาง (6-12 เดือน) และระยะยาว (18-24 เดือน)
โดยแผนฟื้นฟูอุตสาหกรรมดั้งเดิม 45 กลุ่ม 11 คลัสเตอร์ มี 3 ข้อหลัก ดังนี้
1) สนับสนุนสินค้าไทย (Made
in Thailand) ซึ่งได้นำเสนอกับกรมบัญชีกลางในการปรับปรุงระเบียบจัดซื้อจัดจ้าง
ให้เพิ่มแต้มต่อในด้านการซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศไทยมากขึ้น
2) เน้นการพัฒนาห่วงโซ่การผลิต ต้นน้ำ-ปลายน้ำ
ตลอดซัพพลายเชน ทั้งนี้อุตสาหกรรมต่างๆ
ได้รับผลกระทบจาก Trade War เมื่อปีที่ผ่านมา
และยังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการระบาดของโรคโควิด-19
ทำให้ขาดชิ้นส่วนหรือวัตถุดิบที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
เนื่องจากการปิดประเทศและการ Lock Down ของจีน
แต่บางอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากการสั่งของจากต่างประเทศไม่ได้
จึงหันมาสั่งของจากไทย แต่เป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น จึงเป็นที่มาของ Deglobalization
การหันกลับมาพัฒนาสิ่งของหรือวัตถุดิบใช้เองในประเทศ นอกจากนี้กรณี Trade
War รอบสองเกิดขึ้นแล้ว ทำให้เกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง ดังนั้นการจะทำให้ซัพพลายเชนในประเทศกลับมาได้
คือการพัฒนาห่วงโซ่การผลิตตั้งแต่ต้นน้ำไปยังปลายน้ำ
3)
ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในภาคเกษตรและอาหาร ในขณะที่การส่งออกและการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก
ส่งผลให้เกิดปัญหาการจ้างงาน แต่ประเทศไทยมีต้นทุนที่ดีมาก คือความหลากหลายทางชีวภาพ
ดังนั้นอุตสาหกรรม Bio Economy การทำเกษตรแปรรูป
เกษตรเพิ่มมูลค่า จะเป็นสิ่งที่ตรงกับคนไทยมากที่สุดในอนาคต และเป็นความต้องการของโลกด้วย
สำหรับแผนฟื้นฟูอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีความสำคัญในอนาคต
6 อุตสาหกรรม ได้แก่
1. อุตสาหกรรมดิจิทัล
2. อุตสาหกรรมเกี่ยวข้องกับสุขภาพ
3. เครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์
4. อุตสาหกรรมโลจิสติกส์
5. อุตสาหกรรมหุ่นยนต์
6. อุตสาหกรรม Bio
Economy
นอกจากนี้
ยังได้มีการจัดตั้งโครงการความร่วมมือฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก (Local Economy) ระหว่างกลุ่มอุตสาหกรรม, คลัสเตอร์
และสภาอุตสาหกรรมจังหวัด โดยสภาอุตสาหกรรมฯ ในฐานะหน่วยงานภาคเอกชน
เห็นว่าเรื่องแผนฟื้นฟูควรเป็นแผนระยะยาวที่มีความยั่งยืนและต่อยอดได้ ดังนั้นความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นจึงเป็นความร่วมมือจากคลัสเตอร์อุตสาหกรรมต่างๆ
ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมจังหวัด โดยปัจจัยสำคัญที่จะทำให้โครงการสำเร็จได้ คือ
Ownership ต้องมีเจ้าภาพดำเนินการ อาจเป็นมืออาชีพ
หรือผู้ที่อยู่ในท้องถิ่นนั้นๆ
Business Plan ต้องมีแผนธุริจที่ชัดเจน การดำเนินงานจะต้องมีกำไร
ขยายต่อไปได้อย่างยั่งยืน
Co-Operation การเชื่อมโยงและความร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรมและสภาอุตสาหกรรมจังหวัด