‘พลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก’ เป็นเรื่องที่รัฐบาลไทยให้ความสำคัญจัดทำเป็นวาระแห่งชาติ ในแผนการพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2558-2579 เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าพลังงานเชิงพาณิชย์ ที่พบว่ามีสัดส่วนการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ โดยเฉพาะประเภทน้ำมันดิบและถ่านหินลิกไนต์สูงถึง 85% และ 78% (สถิติปี 2558) ดังนั้นรัฐบาลไทยจึงให้ความสำคัญในการพัฒนาพลังงานทดแทนอย่างจริงจัง เพื่อลดการพึ่งพาและการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ เป็นการสร้างความมั่นคงและพัฒนาพลังงานอย่างยั่งยืน เนื่องจากทั่วโลกมีความต้องการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นจากสภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมระดับโลกที่ทุกประเทศต้องให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
โดยรัฐบาลไทยให้ความสำคัญ 3 ด้าน
ประกอบด้วย
1. ความมั่นคงทางพลังงาน
(Energy Security) ในการตอบสนองต่อปริมาณความต้องการพลังงานที่สอดคล้องกับอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
อัตราการเพิ่มของประชากร และอัตราการขยายตัวของเขตเมือง
รวมถึงการกระจายสัดส่วนของเชื้อเพลิงให้มีความเหมาะสม
2. ด้านเศรษฐกิจ (Economy) ที่ต้องคำนึงถึงต้นทุนพลังงานที่มีความเหมาะสม
และไม่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในระยะยาว
รวมถึงส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
3. ด้านสิ่งแวดล้อม (Ecology) เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนภายในประเทศ
ด้วยเทคโนโลยีการผลิตพลังงานที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน
ประเทศไทยมีศักยภาพในด้านแหล่งเชื้อเพลิงพลังงานทดแทน
แต่ยังมีต้นทุนในการดำเนินการที่สูง และประสิทธิภาพต่ำเมื่อเทียบกับการใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิล
รัฐบาลจึงได้กำหนดมาตรการส่งเสริมสนับสนุนให้มีรูปแบบต่างๆ มาช่วยสร้างแรงจูงใจในการพัฒนาพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นผ่านกระทรวงพลังงาน
โดยมีการจัดตั้งโครงการส่งเสริมผ่านหน่วยงานและโครงการต่างๆ ไว้เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ประกอบการภาคเอกชนร่วมลงทุน
ดังนี้
1. กลไกการส่งเสริมโดยคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
(BOI) ภาครัฐได้ยกระดับให้อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน
เป็นกิจการที่มีระดับความสำคัญสูงสุดและจะได้รับการส่งเสริมการลงทุนในระดับสูงสุดเช่นกัน
จึงมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
จากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ซึ่งได้กำหนดสิทธิประโยชน์ที่ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับเครื่องจักร
ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นเวลา 8 ปี และหลังจากนั้นอีก 5 ปี
หรือตั้งแต่ปีที่ 9–13 จะลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ร้อยละ 50
รวมทั้งมาตรการจูงใจด้านภาษี อาทิ
การลดภาษีเครื่องจักรอุปกรณ์ที่นำเข้าจากต่างประเทศ รวมทั้งการอนุญาตให้นำต้นทุนในการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ
เช่น ไฟฟ้าประปา ขอหักลบภาษีได้สูงสุด 2 เท่า
สำหรับโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ เป็นต้น
ตามหลักเกณฑ์ในการพิจารณาส่งเสริมโครงการด้านพลังงานทดแทน ได้แก่
กรณีที่ผู้ประกอบการหรือนักลงทุนมีสัดส่วนหนี้ต่อทุนน้อยกว่า 3 ต่อ 1 สำหรับโครงการใหม่
หรือมีเครื่องจักรใหม่ที่มีกระบวนการผลิตที่ทันสมัย หรือมีระบบจัดการที่ปลอดภัย
รักษาสิ่งแวดล้อม และใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบในการผลิต เป็นต้น
2. การให้บริการข้อมูลศักยภาพพลังงานทดแทน
(พพ.) การบริการข้อมูลศักยภาพด้านพลังงานทดแทนที่สำคัญนั้น
ปัจจุบันได้มีการพัฒนาแผนที่และข้อมูลศักยภาพพลังงานทดแทน 3 ประเภท
โดยมีการเผยแพร่ผ่านทางระบบฐานข้อมูลของ พพ. ได้แก่
1) ศักยภาพพลังงานแสงอาทิตย์
2) ศักยภาพชีวมวลในประเทศ ได้มีการนำเสนอบนระบบฐานข้อมูลชีวมวล
3) ศักยภาพขยะ แสดงข้อมูลศักยภาพขยะในการนำไปผลิตเป็นพลังงานทดแทน
ผู้สนใจสามารถติดต่อขอรับข้อมูลหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
“ศูนย์สารสนเทศข้อมูลพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน”
กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน หรือเว็บไซต์ http://www.dede.go.th
3. การสนับสนุนงบประมาณแบบให้เปล่า
(พพ. และ สนพ.) การสนับสนุนเงินลงทุนแบบให้เปล่า
หรือ Investment Grant โดย พพ. และ สนพ.
จะให้เงินสนับสนุนโครงการประมาณร้อยละ 10-30 ได้แก่ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ
สถาบันการศึกษา หรือองค์กรเอกชนที่ไม่มุ่งค้ากำไรตามมาตรา 26
ใช้ในการออกแบบและลงทุนในการบริหารโครงการ
โดยบางโครงการอาจมีผู้ร่วมโครงการกับเจ้าของโครงการด้วย
ซึ่งผู้ร่วมโครงการก็จะได้รับเงินสนับสนุนดังกล่าวเช่นกันผ่านทางเจ้าของโครงการ
สำหรับบริษัทเอกชนทั่วไปที่ประสงค์จะลงทุนและดำเนินงานในด้านพลังงานทดแทนและการอนุรักษ์พลังงาน
หรือเพื่อการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการอนุรักษ์พลังงาน
ก็สามารถยื่นขอรับการสนับสนุนจากกองทุนฯ ได้เช่นกัน โดยจะถูกจัดอยู่ในลักษณะเป็นผู้ร่วมโครงการ
และจะมีคณะกรรมการกองทุนฯ พิจารณาการอนุมัติเป็นรายกรณี
4. โครงการเงินหมุนเวียนเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน
เป็นโครงการที่กองทุนเพื่อการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานผ่านการดูแลของ พพ.
สนับสนุนผู้ประกอบการในการลงทุนด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน
โดยการให้กู้ผ่านสถาบันการเงินในอัตราดอกเบี้ยต่ำ ปัจจุบันการดำเนินโครงการอยู่ในระยะที่
6 (พ.ศ. 2558-2560) วงเงิน 1,489 ล้านบาท โดยมี 8 สถาบันการเงินเข้าร่วม ซึ่งธนาคารกรุงเทพฯ
เป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่สนับสนุนการลงทุนด้านพลังงานทดแทน
5. โครงการส่งเสริมการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน
(ESCO Fund) โครงการส่งเสริมการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน (ESCO Fund) กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน
(พพ.) ภายใต้การสนับสนุนทางการเงินจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ได้จัดตั้ง
“โครงการส่งเสริมการลงทุนด้านอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน
ด้วยเงินทุนหมุนเวียน (ESCO Revolving Fund)” มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการลงทุนด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน
โดยให้ความช่วยเหลือด้านการลงทุนแก่ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในการพัฒนาโครงการแต่ยังขาดปัจจัยการลงทุน
และช่วยให้ผู้ประกอบการหรือผู้ลงทุนได้ประโยชน์จากการขายคาร์บอนเครดิต
โดยมีแผนปฏิบัติการพัฒนาพลังงานทดแทนฯ
ตามกรอบแผนแม่บทแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2558–2579
รูปแบบการจะส่งเสริมในหลายลักษณะ อาทิเช่น ร่วมลงทุนในโครงการ (Equity
Investment) ร่วมลงทุนในบริษัทจัดการพลังงาน (ESCO Venture
Capital) ร่วมลงทุนในการพัฒนาและซื้อขายคาร์บอนเครดิต (Carbon Market) การเช่าซื้ออุปกรณ์ (Equipment
Leasing) การอำนวยเครดิตให้สินเชื่อ (Credit Guarantee Facility) และการให้ความช่วยเหลือทางด้านเทคนิค (Technical
Assistance)
6. มาตรการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ
Feed-in Tariff คือ
มาตรการส่งเสริมการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนประเภทหนึ่งที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ
เพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการเอกชนเข้ามาลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (เนื่องจากการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมีต้นทุนค่อนข้างสูง)
ซึ่งอัตรา FiT จะอยู่ในรูปแบบ
อัตรารับซื้อไฟฟ้าคงที่ตลอดอายุโครงการ
(มีการปรับเพิ่มสำหรับกลุ่มที่มีการใช้เชื้อเพลิง) โดยอัตรา FiT จะไม่เปลี่ยนแปลงไปตามค่าไฟฟ้าฐาน และค่า Ft ทำให้มีราคาที่ชัดเจนและเกิดความเป็นธรรม
7. การขับเคลื่อนด้วยแรงจูงใจจากการซื้อขายด้วยคาร์บอนเครดิต ตลาดคาร์บอน (Carbon Market) เป็นการใช้กลไกตลาดเพื่อสร้างแรงจูงใจในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ถือเป็นช่องทางหนึ่งในการสร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการพลังงานทดแทน เช่น
โครงการผลิตพลังงานชีวมวล ที่เป็นวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร
การผลิตก๊าซชีวภาพจากขยะและน้ำเสียเพื่อนำมาผลิตเป็นพลังงาน
รวมไปถึงโครงการด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งจะได้รับประโยชน์ในรูปแบบของการขายคาร์บอนเครดิต
หรือปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้
แหล่งอ้างอิง https://www.dede.go.th/