พร้อมหรือยัง? 5 สิ่งที่ IoT จะพลิกโฉมครั้งสำคัญในปีนี้
Internet of Things (IoT) เป็นหนึ่งในเทรนด์เทคโนโลยีที่โดดเด่นที่สุดที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
หากนับย้อนไปสัก 10 ปี ยุคที่อินเทอร์เน็ตเริ่มมีบทบาทต่อการใช้ชีวิตและการทำงาน
แต่ยังไม่ถึงกับแพร่หลายอย่างรวดเร็วตามการขยายตัวของการใช้สมาร์ทโฟนในขณะนี้ โดยค่าเฉลี่ยในปี
2563 คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตสูงถึง 8 ชั่วโมง 44 นาที สูงเป็นอันดับ 9 ของโลก และประชากรกว่า
48 ล้านคนใช้อินเทอร์เน็ตเป็นประจำ
จากข้อมูลนี้จะเห็นว่า
คนไทยส่วนใหญ่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในทุกกิจกรรมของชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหรือใช้ชีวิตส่วนตัว
อันเป็นส่วนสำคัญให้การใช้งานอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปีอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้เราจึงหยิบยกเรื่อง Internet of Things หรือที่นิยมเรียกสั้นๆ ว่า IoT แปลตามตัวได้อย่างสละสลวยว่า ‘อินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง’ หมายถึงทุกสิ่งอย่างถูกเชื่อมโยงกับโครงข่ายอินเทอร์เน็ตนั่นเอง ในปัจจุบันมีการนำ IoT ไปใช้ประโยชน์ในภาคต่างๆ และจะมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งสำหรับบางกลุ่มธุรกิจ อาทิ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
1. การดูแลสุขภาพผู้สูงอายุและผู้พิการ
จาก Telemedicine
ไปจนถึงความช่วยเหลือในบ้านอัตโนมัติ หรือเทคโนโลยี Smart
Home สำหรับผู้สูงอายุและผู้พิการ อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะเซ็นเซอร์และอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อจะยังคงเปลี่ยนวิธีการส่งมอบการดูแลสุขภาพ นอกจากนี้ยังใช้เพื่อลดการสัมผัสโดยไม่จำเป็นในสถานการณ์ที่ความเสี่ยงของการปนเปื้อนของไวรัสสูงเป็นพิเศษ
เช่นบ้านพักคนชราและที่พักผู้ป่วยโรคติดเชื้อภายในโรงพยาบาล
ที่สำคัญการแพร่ระบาดของโควิด 19 ได้เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการดูแลสุขภาพ
ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี เช่นมีบริการ "เยี่ยมเสมือนจริง"
หรือการนัดหมายออนไลน์กับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ
นอกจากนี้ยังมีการเติบโตที่แข็งแกร่งในตลาดสำหรับอุปกรณ์
IoT ที่จะช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถมีกิจกรรมและใช้ชีวิตในบ้านได้อย่างสะดวกปลอดภัย
ซึ่งจะรวมถึงเครื่องมือที่ใช้ AI ในการตรวจจับการตกหรือการเปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวันปกติ
ที่สามารถแจ้งเตือนญาติหรือผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพให้รับทราบข้อมูลแบบเรียลไทม์
โดยการประยุกต์ใช้ IoT เพื่อระบบสาธารณสุขอัจฉริยะสามารถทำได้ โดยการใช้อุปกรณ์
IoT ที่เก็บข้อมูลสุขภาพ และสัญญาณทางร่างกาย เช่น
สัญญาณชีพจร ความดันโลหิต คุณภาพการนอน การเคลื่อนที่ การหายใจ
ผ่านการใช้อุปกรณ์สวมใส่ เพื่อรวบรวมและประมวลผลออกมาเป็นข้อมูลสุขภาพและอาการเจ็บป่วย
ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลการเจ็บป่วยที่มีประโยชน์ต่อการวินิจฉัยก่อนที่คนไข้มาถึง การดูแลของแพทย์
การคาดการณ์ และการวินิจฉัยการเจ็บป่วยล่วงหน้า แถมสามารถแจ้งเตือนการเจ็บป่วยทันที
และระบบติดตามการแพร่กระจายของโรค ซึ่งจากสถานการณ์ระบาดของโควิด 19 ก็มีการนำ IoT
มาใช้ประโยชน์
2. การทำเกษตรแม่นยำ
การเกษตรแม่นยำ หรือการทำ Smart farming โดยอาศัยการทำงานร่วมกันของระบบเซ็นเซอร์ที่วัดความชื้น
ปริมาณแสงแดด อุณหภูมิ ระบบ ฐานข้อมูลพืช และระบบให้น้ำ ปรับปริมาณแสง
และระบบปรับอุณหภูมิ ที่ทำงานสอดคล้องกันเพื่อสร้างสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชมากที่สุด
และแม่นยำที่สุด
ระบบดังกล่าวนอกจากจะช่วยให้เกษตรกรประหยัดและใช้ทรัพยากรเท่าที่จำเป็น
ยังช่วยให้เกษตรกรสามารถประมาณการช่วงเวลาเก็บเกี่ยวและปริมาณพืชผลที่จะได้อีกด้วย
และด้วยการเข้าถึงเทคโนโลยีในปัจจุบันที่ทำได้ง่าย อาทิ มีแอปพลิเคชันด้าน Smart Farm ให้ดาวน์โหลดฟรีมากมาย
นี่จึงเป็นโครงการการทำเกษตรรูปแบบใหม่ที่เน้นใช้เทคโนโลยีเพิ่มผลผลิตให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
3. ภาคอุตสาหกรรม
สำหรับอินเทอร์เน็ตอุตสาหกรรม (Industrial Internet) คือโครงข่ายข้อมูลขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่ออุปกรณ์
เครื่องจักร เครื่องวัด และระบบการควบคุมในระบบอุตสาหกรรมเข้าด้วยกัน การส่งข้อมูลผ่านโครงข่ายจะช่วยให้อุปกรณ์และระบบต่างๆ
มีการทำงานที่แม่นยำ สามารถทำงานสอดคล้องกันได้โดยไม่ต้องการการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสภาพของเครื่องจักร
เช่น อุณหภูมิ การสั่น การหมุน นอกจากจะช่วยตรวจสอบความผิดปรกติของเครื่องจักรได้
ยังช่วยใช้คาดการณ์เวลาที่จำเป็นต้องเปลี่ยนอะไหล่ของอุปกรณ์เมื่อถึงเวลาเสียได้
ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนอะไหล่ใหม่โดยไม่จำเป็นได้
นอกจากนี้การเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างร้านสะดวกซื้อ
ระบบโลจิสติกส์ และโรงงาน จะช่วยให้สามารถบริหารการผลิตและกระจายสินค้าให้ได้ประสิทธิภาพมากขึ้น
ซึ่งประเทศไทยในฐานะที่มีสัดส่วนการผลิตใน ภาคอุตสาหกรรมที่สูง
จะมีโอกาสได้ประโยชน์จากการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น
4. คมนาคมและการจัดการโลจิสติกส์
โครงข่าย IoT จะเข้ามามีส่วนช่วยในการพัฒนาระบบคมนาคมและการจัดการโลจิสติกส์
โดยช่วยสนับสนุนให้มีการเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างยานพาหนะด้วยกัน
หรือระหว่างยานพาหนะและระบบควบคุมการจราจรอื่น เช่น ระบบสัญญาณ การจราจร
ระบบข้อมูลสภาพจราจร หรือการนำเอาระบบดังกล่าวมาใช้กับระบบขนส่งมวลชนที่จะช่วยให้การบริการมีความปลอดภัย
สะดวก และตรงเวลามากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้การนำระบบดังกล่าวไปใช้ในการขนส่งสินค้า
จะทำให้สามารถทราบตำแหน่งยานพาหนะ ทราบสถานการณ์รับ-ส่ง สินค้า
อันส่งผลให้การจัดการสินค้าคงคลังมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างของการใช้งานระบบติดตามยานพาหนะในประเทศไทย
5. การจัดการพลังงานและสาธารณูปโภค
ระบบการจัดการพลังงานและสาธารณูปโภค (Utility Management) ที่มีประสิทธิภาพ จะต้องมีการตรวจวัดที่แม่นยำ
การประมวลผลในภาพรวม และการประมาณการที่มีความเชื่อถือได้ ระบบ IoT ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในลักษณะการตรวจวัดระยะไกล เช่น ระบบ Smart
meter ซึ่งมีความสามารถในการวัดปริมาณการใช้สาธารณูปโภค
หรือวัดคุณภาพสาธารณูปโภค ก่อนจะส่งข้อมูลดังกล่าวไปยังหน่วยประมวลผลกลาง เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ในภาพรวมต่อไป
ตัวอย่างของการประยุกต์ใช้งานประเภทนี้
คือบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้า โดยใช้ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart grid) ที่ทำหน้าที่ตรวจวัดปริมาณการใช้งานพลังงานไฟฟ้า
และรวบรวมข้อมูลเพื่อประมาณการค่าอุปสงค์การใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาต่างๆ
อันจะเป็นประโยชน์ต่อการควบคุม การจ่ายไฟฟ้า การวางแผนสร้างโรงไฟฟ้า
จัดการแหล่งจ่ายพลังงานไฟฟ้า และการคิดราคาค่าไฟฟ้าแบบสอดคล้องกับค่าอุปสงค์-อุปทาน
อย่างไรก็ตามกล่าวกันว่า
ในไม่ช้าเทคโนโลยี Edge Computing ก็เป็นอีกหนึ่งเทรนด์อันทรงพลังที่จะช่วยให้ประสิทธิภาพของ
IoT ดีขึ้นอีกมาก เนื่องจากสามารถประมวลผลข้อมูลให้แสดงผลเร็วใกล้เคียงกับความเร็วของเครือข่ายมากที่สุด
ซึ่งข้อมูลเครือข่ายจะถูกส่งจากอุปกรณ์ เช่น คอมพิวเตอร์, สมาร์ทโฟน, หรือหุ่นยนต์ในไลน์การผลิตกลับไปสู่ฐานข้อมูลกลางเพื่อประมวลผลและวิเคราะห์
ขณะที่ปัจจุบันเทคโนโลยี 5G คือก้าวสำคัญของการทำธุรกิจยุคนี้ ด้วยเหตุนี้เป็นที่น่าจับตาว่า
โลกธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการสื่อสาร ข้อมูลที่แม่นยำและรวดเร็ว
รวมถึงการเชื่อมต่อที่ไร้พรมแดนอย่างแท้จริง อาจทำให้ระยะเวลาเพียงแค่ 1-2 ปี
จะเกิดภาพอนาคตมิติใหม่ๆ ที่รูปแบบการทำธุรกิจแบบดั้งเดิมจะถูกแทนที่อย่างถาวร
