ในสถานการณ์ที่สมรภูมิการแข่งขันของธุรกิจร้านอาหารกำลังเคลื่อนตัวจาก “หน้าร้าน” มาสู่ “แอปพลิเคชั่น” บนสมาร์ทโฟนมากขึ้นเรื่อยๆ และกำลังส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ (Landscape) ในธุรกิจร้านอาหาร สะท้อนได้จากการเร่งปรับยุทธศาสตร์ของเชนร้านอาหารระดับโลกอย่างของเคเอฟซีและแมคโดนัลด์ ที่ต่างพยายามสร้างสมดุลระหว่างช่องทางดั้งเดิมอย่าง “หน้าร้าน” ซึ่งมีจำนวนมากและมีต้นทุนสูง ขณะเดียวกันก็ต้องเร่งพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ที่กำลังเติบโต ให้สามารถรองรับกับพฤติกรรมใหม่ (Next Normal) ที่กำลังจะรุกคืบเข้ามาทุกขณะ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จึงถือได้ว่าเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
“Self pickup” อาวุธใหม่
KFC
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด
19 ถือเป็นตัวแปรสำคัญที่นำมาสู่การตัดสินใจปรับรูปเกมการวางกลยุทธ์ของเคเอฟซี
เพราะสิ่งที่ปรากฏขึ้นคือตัวเลขผู้ใช้บริการผ่านช่องทางเดลิเวอรีเพิ่มสูงขึ้น 50%
และไดรฟ์ทรูเพิ่มขึ้น 20% ซึ่งมีนัยสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมที่กำลังจะเปลี่ยนผ่านสู่
Next Normal เคเอฟซี จึงมุ่งตอบโจทย์ไปที่การนำเทคโนโลยีเข้ามาสร้างประสบการณ์ที่ดีในทุกๆ
ช่องทาง
โดยล่าสุดเคเอฟซีเลือกที่จะขับเคลื่อนการตลาดผ่านบริการ
‘Self pickup’ ซึ่งสามารถสั่งสินค้าที่ต้องการจากที่ไหนก็ได้บนแอปพลิเคชั่นเคเอฟซี
จากนั้นเลือกเวลารับสินค้าได้ตามความต้องการและร้านในจุดที่สะดวกรับสินค้า
โดยเริ่มทดลองให้บริการจาก 3 สาขาในเขตกรุงเทพฯ และมีเป้าหมายจะเพิ่มพื้นที่การให้บริการให้ครบ
300 สาขาภายในสิ้นปี
ในช่วง
4 เดือนสุดท้ายของปี เคเอฟซีจะเริ่มปูพรมสร้างการรับรู้ถึงบริการ
Self pickup โดยเน้นสร้างประสบการณ์ให้กับผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ให้ได้สัมผัสกับบริการของเคเอฟซี
ภายใต้คอนเซปต์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องและการสื่อสารการตลาดเกี่ยวกับ Self
pickup อย่างเป็นทางการ รวมถึงการจัดโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขาย
สำหรับบริการ
Self pickup สะท้อนได้ชัดว่า เคเอฟซีกำลังนำมิติของการผสานทุกช่องทางจำหน่าย
หรือออมนิชาแนล (Omni channel) เข้ามาช่วงชิงกำลังซื้อ ด้วยการเชื่อมต่อระหว่างช่องทางออนไลน์สู่ออฟไลน์ให้เป็นรูปธรรม
ซึ่งการพัฒนาครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะสามารถตอบโจทย์ด้านความสะดวก รวดเร็ว และยังเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคในสภาวะเฝ้าระวังโควิด
19
ทุก Touch point ต้องตอบโจทย์ Next Normal
อย่างไรก็ตามแม้ว่าสถานการณ์ของโควิด
19 ในบ้านเราจะคลี่คลายมากขึ้น
แต่การปรับโมเดลการตลาดของธุรกิจต่างๆ ยังจำเป็นต้องให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับพฤติกรรมใหม่ในการใช้ชีวิตของผู้บริโภค
ซึ่งต้องการความมั่นใจในการเลือกมื้ออาหาร
โดยเฉพาะการใช้บริการภายในร้านที่ต้องปลอดภัย มีบริการที่รวดเร็ว สะดวกสบาย
ซึ่งเคเอฟซี ในฐานะที่เป็นเชนร้านอาหารสะดวกอิ่มที่มีสาขามากที่สุดในประเทศ
จำเป็นต้องมีมาตรการที่ดีสำหรับรักษาฐานลูกค้าในช่องทางหน้าร้านหรือ Physical Store ในปีที่ผ่านมาจึงได้เห็นหน้าตาของร้านเคเอฟซีที่มีปรับการตกแต่งใหม่
โดยเน้นความทันสมัย ใช้กระจกมาเป็นวัสดุกั้นหน้าต่างในส่วนครัว เพื่อให้ลูกค้ามีโอกาสเห็นขั้นตอนการจัดเตรียมและการปรุงไก่ทอดทุกชิ้นในร้านด้วยมือ
ตามสูตรของผู้พันแซนเดอร์ที่สืบทอดมาเกือบ 80 ปี
McDonald’s ฮึด! ประกาศ
Strategic Transformation
แมคโดนัลด์
ในไทยมีศักดิ์ศรีเป็นถึงรองแชมป์ในตลาดร้านอาหารบริการด่วน หรือ Quick Service Restaurant (QSR) ทว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแมคโดนัลด์อยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้าง
“นิ่ง” กระทั่งถูกกดดันจากระดับรายได้ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากการเติบโตที่ 3.8%
ในปี 2559 เหลือ 1.7% ในปี 2560 และปี 2561 รายได้ของแมคโดนัลด์เริ่มดิ่งสู่แนวลบ
โดยมีรายได้รวมประมาณ 6,300 ล้านบาทแต่มีขาดทุน 310 ล้านบาท ต่อเนื่องปี 2562
ระดับรายได้ทรงตัวคือ 6,132 ล้านบาท
แต่มีขาดทุนสะสมเข้ามาอีก 304 ล้านบาท
และนี่น่าจะเป็นมูลเหตุสำคัญที่ทำให้แมคโดนัลด์ต้องลุกขึ้นมาประกาศ
Strategic Transformation ในหลายมิติ
เช่น ลดความถี่ในการนำเสนอเมนูเฉพาะช่วงเวลาหรือ Limited
Time Offer : LTO และหันมายกระดับเมนูประจำ (Permanent Menu) ให้มีคุณค่ามากขึ้น ด้วยการเน้นวัตถุดิบคุณภาพ ให้ปริมาณใหญ่ขึ้น
เปลี่ยนองค์ประกอบต่างๆ ให้มีตอบโจทย์ความต้องการมากขึ้น รวมถึงการที่สร้าง
Brand Engagement และ Brand Relevancy ให้ลึกขึ้น
โดยจะให้น้ำหนักไปที่กลุ่มครอบครัวซึ่งเป็นฐานลูกค้าสำคัญของแมคโดนัลด์มานาน
ขณะเดียวกันก็ขยายฐานไปที่กลุ่ม
“วัยรุ่น” และ “วัยเริ่มต้นทำงาน” ผ่านการออกแบบบรรยากาศภายในร้านด้วยแนวคิด “Alphabet” ที่เรียบง่าย อบอุ่น ทันสมัย
มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่รองรับไลฟ์สไตล์ได้หลากหลาย
ซึ่งตั้งเป้าหมายที่ปรับปรุงสาขาในแนวคิดใหม่ให้ครบ 50 สาขาภายในปี
2564
รวมทั้ง
แมคโดนัลด์ได้พยายามสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับบริการไดร์ฟทรู ผ่านแคมเปญ Drive-thru Speed Challenge โดยแมคโดนัลด์การันตีว่าลูกค้าจะสามารถจัดการเวลา
ตั้งแต่ลูกค้าสั่งจนถึงลูกค้าได้รับอาหารภายใน 2 นาที
และหากทำไม่ได้ลูกค้าจะได้ส่วนลดหรือรับอาหารฟรี โดยแคมเปญนี้จัดขึ้นทุกวันเสาร์–อาทิตย์ของสิ้นเดือน
ซึ่งเป็นช่วงที่มีผู้ใช้บริการมาก
คิดใหม่
ทำใหม่ ผ่าน Personalization
ล่าสุดแมคโดนัลด์
กำลังโฟกัสกับการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคแบบเจาะจง โดยลงลึกเป็นรายบุคคล (Personalization) ซึ่งถือเป็นการคิดใหม่ ทำใหม่ ที่จะสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคนี้
และมีความเข้าใจสามารถเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น ผ่านการวิเคราะห์พฤติกรรมและจดจำการใช้งานของผู้บริโภค
เพื่อนำเสนอสิ่งที่ลูกค้าต้องการมากที่สุด ด้วยแนวคิดที่โดดเด่น
‘สุขล้นในแอปเดียว’
โดยเครื่องมือหลักของยุทธศาสตร์นี้จะมาจากการนำระบบ
AI และ Machine Leaning-base ที่จะเข้ามาแปลง DATA
ซึ่งแมคโดนัลด์มีอยู่จากจำนวนการดาว์นโหลดและใช้บริการซื้อสินค้าผ่าน
“McDonald’s Application” ซึ่งปีที่ผ่านมาได้เริ่มแจกคูปองพิเศษผ่านแอพพลิเคชั่นสำหรับเป็นส่วนลดในการซื้อสินค้าในร้าน
ซึ่งเป็นรูปแบบการขับเคลื่อนในลักษณะ Omni channel
ลำดับต่อมาจะยกระดับสู่การเป็น Personalization Marketing ผ่านแคมเปญ Create
your deal ซึ่งลูกค้าจะสามารถเลือกดีลได้ตามต้องการ
(Personalized Offer) ซึ่งขณะนี้แอพพลิเคชั่นแมคโดนัลด์ มียอดการดาว์นโหลด
1.2 ล้านคนและคาดว่าภายในสิ้นปีจะเพิ่มเป็น 4 ล้านคน
กล่าวได้ว่าทั้ง เคเอฟซีและแมคโดนัลด์ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศไทยและอีกหลายๆ ประเทศทั่วโลก ได้ส่งสัญญาณถึงรูปแบบการให้บริการที่เน้นความสะดวกและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น กรณีศึกษานี้สำหรับแบรนด์เล็กหรือร้านแฟรนไชส์ สามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจของตนได้ตามความเหมาะสม