ตลอดหลายปีที่ผ่านมา หลายหน่วยงานต่างสนับสนุนเกษตรกรให้สามารถนำเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะมาปรับใช้ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ โดยสามารถเพิ่มผลผลิตได้กว่าเท่าตัว ลดต้นทุนจากการลดการใช้ปุ๋ยและสารเคมีปราบศัตรูทางการเกษตร ซึ่งเป็นต้นทุนหลักของเกษตรกรไทย (ปัจจุบันไทยนำเข้าปุ๋ยประมาณ 60,000 ล้านบาทต่อปี โดยมีอัตราผู้ป่วยจากพิษสารเคมีกำจัดศัตรูพืช 5,000 คนต่อปี และเสียชีวิตปีละ 600 ราย) ทำให้ผลิตผลที่ได้มีคุณภาพ มีความปลอดภัยตรงตามความต้องการของตลาด
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ด้วยเหตุนี้การพัฒนาเกษตรปลอดภัย โดยการนำระบบการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practices, GAP) มาใช้ให้มากขึ้น
โดยมีการผลิตผลผลิตทางการเกษตรที่หลากหลาย และการปลูกพืช/เลี้ยงสัตว์เฉพาะท้องถิ่น
อาทิการปลูกไผ่ กาแฟ ชา และโกโก้ การเลี้ยงแพะ แกะ แมลง การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในระดับครัวเรือน
รวมทั้งการพัฒนาพันธุ์ที่เหมาะสมและมีมูลค่าสูง สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมตลอดจนการนำผลผลิตมาแปรรูปให้มีมูลค่าสูงขึ้น
โดยมีเป้าหมายเพิ่มผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้กับเกษตรกรได้ 240,000 บาท/ครัวเรือน/ปี
ทั้งนี้การใช้ประโยชน์จากสัตว์เศรษฐกิจในชุมชน
โดยการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตสัตว์เศรษฐกิจต่างๆ ในระดับครัวเรือน โดยไม่เน้นการทำในระดับอุตสาหกรรม
ควรศึกษาว่าควรมีขนาดเท่าไรที่เหมาะสมในระดับชุมชน เช่น เทคโนโลยีการเลี้ยงปูม้า
เทคโนโลยีการเลี้ยงจิ้งหรีด เทคโนโลยีการ เลี้ยงปูนา
อย่างไรก็ตามการสนับสนุนให้เกิดอุตสาหกรรมแปรรูปผลผลิตเกษตรเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
เช่น สารให้ความหวาน สารแต่งกลิ่นรส สารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ แอลกอฮอล์บริสุทธิ์
พลาสติกชีวภาพ อาหารเสริม สุขภาพหรืออาหารสำหรับคนป่วยโดยเฉพาะ (Functional Food) ซึ่งจะช่วยดูดซับผลผลิตทางการเกษตรส่วนเกินในตลาด
บรรเทาปัญหาราคาตกต่ำในพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยได้ ตลอดจนการทำให้เกิดอุตสาหกรรมแปรรูปวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรและขยะในรูปแบบต่างๆ
เพื่อเป็นเชื้อเพลิงชีวมวลคุณภาพสูง
โดยนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตพลังงานสำหรับโรงไฟฟ้าชีวมวล เช่น
การผลิตก๊าซไบโอมีเทนอัด (CBG) การผลิตสารเคมีชีวภาพมูลค่าสูงจากกลีเซอรีนและเอทานอล
กระนั้นในการยกระดับการต่อยอดภาคเกษตร
สู่การวางรากฐานเศรษฐกิจจากฐานรากยังคงมีอีกหลายมิติ อาทิ การส่งเสริมการท่องเทียวชีวภาพ
การสร้างศูนย์การเรียนรู้ชุมชน การต่อยอดผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น
และการเจาะตลาดใหม่มากยิ่งยิ่ง
แต่ยังมีอีกมิติที่ควรจับตาและเป็นประเด็นทั้งภาคสังคมโลกให้ความสนใจ
เช่น การสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่เน้นการแปลงของเสียให้เป็นแหล่งรายได้ในอนาคต
สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ประกอบการเดิมใน ระบบ รวมทั้งสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจแก่ผู้ประกอบการรายใหม่
ที่จะเข้ามาปิดช่องว่างในการใช้ทรัพยากรของประเทศมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมอื่นๆ
ที่เกี่ยวเนื่องอันเกิดจากการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมในกลุ่ม BCG เช่น ธุรกิจการออกแบบ (สำหรับคนสูงอายุ หรือคนป่วย),
อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์และการขนส่ง สินค้า (เกษตร อาหาร และเวชภัณฑ์) หรือแม้แต่การบริการอื่นๆ
ซึ่งจะเป็นรูปแบบการจัดการแบบบูรณาการในทุกภาคส่วนได้อย่างแท้จริง
ถึงตรงนี้จะเห็นได้ชัดว่า ภายใต้รูปแบบการส่งเสริมเศรษฐกิจเกษตรจากฐานราก จะเป็นการยกระดับความเข้มแข็งของเศรษฐกิจไทยในอนาคต แต่จะเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมได้ยังคงต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย ที่สำคัญตัวเกษตรกรเองยังต้องให้ความสำคัญกับการปรับตัวในรูปแบบใหม่ๆ และการทำเกษตรสมัยใหม่ควบคู่กับการใช้จุดเด่นของผลิตภัณฑ์ให้มากยิ่งขึ้น
สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<<