ไม่ใช่เพียงแค่ประเทศไทยเท่านั้นที่ตื่นตัวเรื่องการใช้
"สารสกัดกัญชาทางการแพทย์" แต่กระแสนี้ได้กลายเป็นเทรนด์ธุรกิจในหลายๆ
ประเทศอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ทั้งในแถบสหภาพยุโรป หรือแม้แต่แคนาดา
โดยในแคนาดากระแสการตื่นตัวเรื่องกัญชาทางการแพทย์ถูกปลุกขึ้นมาเมื่อ 3 ปีก่อน ด้วยการสนับสนุนของภาครัฐที่ผลักดันให้มีการผ่านร่างกฎหมายอนุญาตให้มีการปลูกและใช้กัญชาสำหรับความบันเทิงและสันทนาการ และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการที่ผ่านการรับรองสามารถใช้กัญชาเป็นส่วนผสมในอาหารได้ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2562 โดยมีกำหนดจะเริ่มวางตลาดในเดือนธันวาคม 2562
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
กระทรวงสาธารณสุขแคนาดา (Health
Canada) เป็นหน่วยงานหลักที่กำหนดนโยบายด้านสาธารณสุข
ขณะที่ Public Health Agency of Canada จะเป็นหน่วยปฏิบัติการณ์ที่ออกกฎระเบียบและแนวทางในการปฏิบัติ
ซึ่งถือแม้ว่าจะมีการอนุญาตให้มีการใช้กัญชาเป็นส่วนผสมอย่างถูกกฎหมาย
แต่ก็มีการตีกรอบว่าหากจะมีการผลิตสินค้าที่มีส่วนผสมจากกัญชาจะต้องแยกออกจากวิธีการผลิตปกติ
จึงจะสามารถขออนุญาตผลิตได้
โดยจะมี Canadian
Food Inspection Agency (CFIA) เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ
ซึ่งมีพนักงานรวมกว่า 3,200 คน อย่างไรก็ตาม
แม้ว่าจะมีกฎระเบียบและการวางแนวทางปฏิบัติอย่างรัดกุม
แต่ทว่าในทางปฏิบัติก็ยังเกิดปัญหาจากขั้นตอนการตรวจสอบที่ยังไม่เข้มงวดหรือยังไม่ชัดเจนเพียงพอ
หรือแม้แต่การประสานงานในการตรวจสอบระหว่างผู้ประกอบการและเจ้าหน้าที่
ที่สำคัญกติกาที่กำหนดให้แยกกระบวนการผลิตสินค้าที่มีกัญชาออกจากการผลิตปกติ
ถือเป็น กำแพงสำคัญในการเข้าสู่ตลาด ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้น ตามผลศึกษาของมหาวิทยาลัย
Dalhousie สำรวจพบว่า
ชาวแคนาดาสัดส่วน 71% สนใจที่ทดลองสินค้าที่มีส่วนผสมจากกัญชา
อย่างไรก็ตาม อีกด้านหนึ่งยังมีการวิจัยผลกระทบจากผลข้างเคียงของกัญชาในการนำมาผสมในอาหาร โดยมหาวิทยาลัย McGill และ บริษัท The 3C Global Cannabis Innovation Centre ซึ่งหากได้ข้อสรุปออกมาชัดเจนก็จำเป็นต้องมีการนำมาปรับปรุงกฎหมายที่ใช้ในปัจจุบัน
การผ่านร่างกฎหมายนี้ถือเป็นก้าวแรกขของการเปิดตลาดกัญชา
สร้างโอกาสที่จะใช้ประโยชน์จากการผ่านร่างกฎหมายให้สามารถใช้สารสกัดกัญชาได้
โดยจะต้องเตรียมพัฒนาสินค้าที่ที่มีส่วนผสมของกัญชา
เพื่อเข้าสู่ตลาดที่มีแนวโน้มจะเติบโตไปถึง 67,000 ล้านบาท ในปี 2563
ขณะที่ตลาดในฟากยุโรป "เยอรมนี"
ถือเป็นตลาดที่เปิดเสรีต่อสารสกัดจากกัญชาเช่นกัน โดยขณะนี้รัฐบาลเยอรมนี โดย Office
of Drug Control (ODC) อนุญาตให้ผู้ประกอบการชาวออสเตรเลีย
ชื่อบริษัท Australian Natural Therapeutics Group
(ANTG) ปลูกกัญชาเชิงพาณิชย์ได้ คาดว่าอีก 1 ปี
ทางบริษัทจะสามารถผลิตกัญชาเพื่อการส่งออกให้กับผู้ผลิตกัญชาทางการแพทย์สหภาพยุโรป
Cannamedical Pharma ได้ถึง
2 ตัน
ตามข้อมูลระบุว่า ในปี 2561 มีผู้ป่วย
30,000 รายที่ต้องใช้กัญชานำเข้าประมาณ 22,000 กิโลกรัม
และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เพราะจากการวิจัยของบริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจที่ชื่อ Prohibition
Partner คาดว่าตลาดกัญชาททางการแพทย์จะมีมูลค่า
7,700 ล้านยูโรในปี 2571
สำหรับในออสเตรเลียซึ่งเป็นแหล่งปลูกกัญชาหลักเพื่อส่งออกมายังสหภาพยุโรปนั้น เดิมในปี 2561 มีผู้ประกอบการได้รับอนุญาตให้ปลูกกัญชาสำหรับทางการแพทย์ประมาณ 12 รายแล้ว ทั้งนี้ ระบบการปลูกภายในออสเตรเลียกำหนดให้เป็น "ระบบปิด" และต้องกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด ส่วนผู้ป่วยที่จะใช้สารสกัดกัญชาก็จะต้องได้รับอนุญาตจากแพทย์ ซึ่งมีประมาณ 1 แสนคน มีความต้องการใช้ปริมาณ 5-10 ตัน สำหรับผลิตเป็นยาเม็ด น้ำมันสกัด สเปรย์ และสารละลาย ส่วนที่เหลือรัฐบาลออสเตรเลียอนุญาตให้ส่งออกกัญชาได้ แต่มีการคุมเข้มด้านคุณภาพ จนทำให้กัญชาออสเตรเลียเป็นที่ยอมรับในตลาดสากล
ขณะที่ประเทศไทยเริ่มมีความชัดเจนในเรื่องนี้
โดยล่าสุดรัฐบาลผลักดัน "กัญชง" ให้เป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ ก่อน
"กัญชา" โดยปรับประกาศกระทรวงสาธารณสุขเรื่องชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภทที่
5 (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 และ ประกาศคณะกรรมการควบบคุมยาเสพติดให้โทษ เรื่อง
กำหนดลักษณะกัญชง (HEMP) พ.ศ.2562
มีผลบังคับใช้
เหตุผลที่อนุญาตให้กัญชงก่อนกัญชา
เนื่องจากสาร THC ที่มีผลต่อจิตประสาทต่ำกว่ากัญชา
จึงมีโอกาสติดน้อยกว่า และสารซีบีดี (Cannabidiol : CBD)
ซึ่งมีคุณค่าทางการแพทย์สูงกว่า
สามารถนำมาใช้ผลิตอาหาร เครื่องสำอาง สมุนไพรได้
อย่างไรก็ตาม โอกาสการปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดนี้ยังไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจาก กัญชง ก็ยังถือเป็นสารเสพติดประเภทที่ 5 ยังต้องมีการขออนุญาต ควบคุมการปลูกและการผลิต และต้องใช้เมล็ดพันธุ์รับรองและขึ้นทะเบียนตามกฎหมายพันธุ์พืช ซึ่งมีส่วนผสมของสาร THC ไม่เกิน 0.3% ยังค่อนข้างเข้ม ถือเป็นความท้าทายในการขยายการปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดนี้
สวทช. อัพเดตเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า
ปลดล็อก 5 อุปสรรคกั้นเอสเอ็มอีเข้าถึงนวัตกรรม