การค้าขายยุคนี้เปลี่ยนแปลงเร็ว
จากกระแสเทคโนโลยีดิสรัปชั่น
"ผู้ประกอบการรายใหนไม่รู้จักปรับตัวหรือปรับตัวช้ามีหวังตกขบวน ในเวทีสัมมนา
"THAILAND
2020 ก้าวข้ามพายุเศรษฐกิจ"
ที่หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ
มีการหยิบยกถึงประเด็นพายุสถานการณ์การค้าโลกในปี 2020 ที่ดูเหมือนว่าจะไม่ง่ายมาประเด็นหลัก
ทั้งได้ฉายภาพให้ภาคธุรกิจรู้ว่าแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจโลกในปีหน้ายัง
"สโลว์ดาวน์" ต่อเนื่อง แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปี 2020 ชะลอตัว 0.3%
หรือขยายตัวเพียง 2.7% จาก 3.0% โดยเฉพาะเศรษฐกิจภายในของสหรัฐอเมริกาที่ปรับตัวลดลงมาก
ทั้งจากสงครามการค้า
และการรุกคืบของเทคโนโลยีที่ทำให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตของทุกคนเปลี่ยน
คำถามคือแล้วผู้ประกอบการจะอยู่รอด หรือจะแสวงหาโอกาสให้ธุรกิจท่ามกลางวิกฤติได้อย่างไร
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ทั้งนี้สาระสำคัญบนเวทีตอนหนี่งโดย คุณศุภชัย
เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานกรรมการ บมจ.ทรู
คอร์ปอเรชั่น เล่าถึงสิ่งที่เป็นทั้งวิกฤติและโอกาส คือ เมกะเทรนด์ (Mega
Trend) หรือแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น ในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือในปี 2025
ใน 7 ด้าน ประกอบด้วย
1. Digital connectivity
& convergence การเชื่อมต่อด้านดิจิทัลซึ่งจะมีบทบาทต่อการลงทุนเมื่อมีการสื่อสารอย่างไร้พรมแดนและก้าวเข้าสู่ยุคดิจิตอลอย่างเต็มรูปแบบ
2. Inflastructure
Development การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญต่อประเทศ
3. Urbanization การพัฒนาเมืองใหม่ เช่นโครงการ สมาร์ทซิตี้
รวมถึงการรวมกลุ่มเมืองในลักษณะ คลัสเตอร์ ซึ่งมีเป็นบริบทใหม่สำหรับการพัฒนาเมือง
สังคมและประชากรให้มีความทันสมัย สะดวกสบาย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสะดวกสบายยิ่งขึ้น
4. Health wellness well
being หรือการมีสุขภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เทคโนโลยีด้านการแพทย์จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้น
5. Bricks and Click การขยับเข้าสู่ระบบคลาวด์ เทคโนโลยีมากขึ้นๆ ทำให้การเชื่อมโยงและการจัดเก็บและเข้าถึงข้อมูลสะดวกมากยิ่งขึ้น
6. Social Trend กระแสในสังคมออนไลน์จะมีบทบาทสำคัญต่อคนทุกกลุ่ม
ในที่นี้น่าจับตาที่กลุ่มผู้สูงอายุที่มีจำนวนมากขึ้น 30% ในปี 2020 และจะเป็นเมกะเทรนด์ที่ธุรกิจต่างให้ความสำคัญ
7. New Business Model โมเดิลธุรกิจใหม่ เช่น ดิจิทัลมีเดีย ออนไลน์ทราเวล และธุรกิจ Ride-Hailing ที่กำลังเติบโตอย่างมาก
ประเด็นสำคัญไม่ใช่เพียงรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
แต่นักธุรกิจจะต้องรู้ว่าจะปรับตัวอย่างไร เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส
โดยยกตัวอย่างเช่น เรื่อง Digital
connectivity & convergence ซึ่งขณะนี้มีประชากรทั่วโลก 7,000
ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้มี 5,000 ล้านที่ใช้โทรศัพท์มือถือ และมีประชากร 4,400
ล้านคนที่ใช้ใช้อินเตอร์เน็ต เท่ากับว่าอีกเกือบ 3.000 ล้านคนยังไม่มีอินเทอร์เน็ตใช้
ประเด็นนี้สะท้อนว่ายังมีช่องว่างการทำการตลาดอินเตอร์เน็ต
และระบบเศรษฐกิจจะถูกขับเคลื่อนโดยเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital
Economy) ดังนั้นหากอุตสาหกรรมไม่ปรับก็จะไม่สามารถแข่งขันได้
ข้อมูลถัดมา
คาดการณ์ความต้องการบริโภคข้อมูลหรือ Data Consumption ของโลกในอนาคตอันใกล้นี้ว่าจะเติบโตเฉลี่ย 26% ในเวลา 5-6 ปี
โดยเฉพาะในประเทศเอเซียแปซิฟิกเติบโต 32% และไทยเป็นประเทศที่เติบโตเป็นอันดับ 2
โอกาสมาพร้อมกัน
ดังนั้นหากไทยมีการลงทุนพัฒนาระบบ 5G จะยิ่งทำให้ตัวเลขนี้เติบโตเร็วขึ้นอีก
และคาดว่าอีก 5 ปี หรือปี 2025 จะมีผู้ใช้ระบบ 5G ถึง 2,700
ล้านคน ซึ่ง 1 ใน 3 เป็นคนจีน ทำให้ธุรกิจด้านดิจิทัลและการสื่อสารในอนาคตจะเติบโตอย่างมาก
โดยเฉพาะในอาเซียน มูลค่า 240,000
ล้านเหรียญสหรัฐสูงเกินกว่าครึ่งหนึ่งของจีดีพีประเทศไทย
แน่นอนว่าข้อมูลนั้นจะไม่เกิดประโยชน์แน่นอน
หากไม่มีการลงทุน ดังนั้น "ศุภชัย"
จึงเสนอแนวทางในการปรับยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ 8 ด้าน ให้สอดรับไปกับเมกะเทรนด์ต้องตอบโจทย์เศรษฐกิจและกระตุ้นการลงทุน
ประกอบด้วย
1. Economic Zoning ต้องวางแผนการพัฒนาเศรษฐกิจตามพื้นที่โซนนิ่งเพื่อตอบโจทย์ด้านต่างๆ
2. Infranstructure ส่งเสริมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่มากกว่ารถไฟฟ้าไฮสปีดเทรน
แต่ต้องเป็นการลงทุนที่สร้างอิมแพ็คให้ประเทศ เช่น การวางระบบชลประทาน
เพื่อเสริมภาคการเกษตรในฐานะที่ไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารแต่ยังมีระบบชลประทานไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่
และการลงทุน 5G ซึ่งจะเป็นตัวช่วยให้การทรานสฟอร์มด้านอื่นทำได้เร็วยิ่งขึ้น
3. Education Innovation hub มุ่งพัฒนาการศึกษาและนวัตกรรม ส่งเสริมการพัฒนาทรัพย์สินทางปัญญามุ่งให้ไทยเป็น
Tech Hub ของอาเซียนเพราะปัจจุบันไทยยังมีจำนวนการจดคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาเพียง
105 รายการเทียบกับเกาหลีใต้ซึ่งมี 17,000 รายการ
การพัฒนาทรัพยากรบุคคลและระบบการศึกษาตอบโจทย์ความต้องการของภาคธุรกิจ
4. Agriculture
Transformation เปลี่ยนผ่านเกษตรและอาหารมาปรับใช้เทคโนโลยีและผสมผสานการเกษตรแบบดั่งเดิม
โดยเทคสตาร์ทอัพด้านเกษตรจะมีสามารถแก้ปัญหาที่เป็น Pain point ได้อย่างตรงจุด
5. SME Transformation ส่งเสริมการพัฒนาเอสเอ็มอี โดยการตั้งธนาคารเพื่อการพัฒนา เพื่อช่วยบริหารความเสี่ยงในการลงทุนด้านเทคโนโลยีและเครื่องจักรเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน
6. Tech Startup พัฒนาให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยปรับระเบียบกฎหมายภาษีซึ่ง 9 ใน 10
คนไทยจดทะเบียนบริษัทสตาร์ทอัพที่สิงคโปร์ เพราะระบบภาษีทำให้กองทุน Venture
Capital ไม่สามารถแข่งขันได้ ดังนั้นต้องแก้ไขเพื่อดึงการลงทุนธุรกิจสตาร์ทอัพให้มากขึ้น
7. EEC ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการควิกวินของรัฐบาล
ซึ่งสิ่งสำคัญคือความสามารถในการดึงผู้เล่นระดับโลกมาลงทุนได้หรือไม่ โดยจะเห็นว่าไทยเป็นอันดับสองเรื่องความต้องการบริโภคดาต้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค
แต่ดาต้าเซ็นเตอร์อยู่ที่สิงคโปร์
จุดสำคัญไทยต้องดึงบริษัทใหญ่ (Big Boy) ด้านต่างๆ
ย้ายฐานผลิตมาที่ EEC ให้ได้ด้วยการดำเนินมาตรการเชิงรุกต่างๆ
ซึ่งจะช่วยสร้างอาชีพหลักแสนคน
8. Partnerships การพัฒนาพันธมิตรภาครัฐและเอกชนทุกด้านให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
ทุกวันนี้ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทุกเวลา
โดย "ศุภชัย" เน้นว่าธุรกิจต้องตื่นรู้
ตระหนักต่อความเปลี่ยนแปลงและเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือสิ่งใหม่ๆ
ที่จะเกิดขึ้นอยู่เสมอ