บรรยากาศการลงทุนที่เมืองเมียวดี สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
บริเวณชายแดนเมียนมา-ไทย ตรงข้ามกับ อ.แม่สอด จ.ตาก เต็มไปด้วยความคึกคัก
เนื่องจากกลุ่มนักลงทุนยักษ์ใหญ่จากสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 7 ราย หลังได้ทำสัญญาเช่าพื้นที่จากรัฐบาลเมียนมาและชนกลุ่มน้อยเมื่อปี
2561 เป็นระยะเวลา 70 ปี เดินหน้าพัฒนาโครงการไม่ต่ำกว่า 20-30 โครงการ ทั้งสร้างโครงการคอนโดมิเนียม
โรงแรมหรู อพาร์ตเมนท์ ศูนย์การค้าครบวงจร ฯลฯ แต่ละโครงการไม่ต่ำกว่า 1
พันล้านบาท ส่งผลให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์บริเวณแถบชานเมืองเมียวดีขยายตัวหลายเท่าตัว
ทั้งนี้ โครงการเมกะโปรเจ็กต์พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เมืองเมียวดีมูลค่ารวมกันหลายพันล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในปลายปี 2563 หรือต้นปี 2564 เพื่อรองรับประชาชนชาวจีนที่เดินทางมาลงทุนและพักอาศัยอยู่ในเมียนมาเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการการลงทุนแถบชานเมืองเมียเกิดขึ้นมาภายหลังจากกลุ่มทุนหย่าไถ้ไถ้ ( YATAI INTERNATIONAL HOLDING GROUP) บรรลุข้อตกลงและลงนามในสัญญาเช่าระยะยาวกว่า 70 ปี กับรัฐบาลเมียนมา และกองกำลังพิทักษ์ชายแดน BGF เพื่อลงทุนสร้าง “เมืองใหม่โก๊กโก่” (เขตเศรษฐกิจเมืองใหม่โก๊ะโก่) ตรงข้ามท่าวังแก้ว 23 บ้านห้วยกะโหลก หมู่ 4 ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก ด้วยงบลงทุนกว่า 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา (มากกว่า 46,500 ล้านบาท) เพื่อให้เมืองใหม่ไชน่าทาวน์แห่งนี้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจริมแม่นํ้าเมย นับเป็นโครงการใหญ่สุดของกลุ่มทุนจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
โดยปัจจุบันกลุ่มทุนจากจีนจำนวนมากแห่เข้ามาร่วมลงทุนกับเมียนมาในเขตชนกลุ่มน้อยหลายจุดแล้วตามแนวชายแดนริมแม่น้ำเมย
เช่น กลุ่มหย่าไถ่-กลุ่มเฮงเชง-กลุ่มหัวเฮี่ยน ฯลฯ เป็นต้น
ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนมหาศาล โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาระบบสาธารณูปโภค
สร้างที่อยู่อาศัย บ้านเรือน ที่พัก โรงแรม อาคารพาณิชย์ ศูนย์การค้า ฯลฯ ซึ่งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฝั่งเมียนมา
จนกลายเป็นเมืองที่จะมีชาวจีนจำนวนนับล้านคนจะเดินทางมาอาศัยอยู่บริเวณชายแดนเมียนมา-ไทย
ในช่วงเวลาอีก 2-3 ปี ข้างหน้านี้
เมียนมาบูมเศรษฐกิจชายแดนปลุกการค้าแม่สอดคึกคัก
ขณะที่การค้าชายแดนไทย-เมียนมา
ซบเซาในช่วงที่ไทยประกาศปิดพรมแดนในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
แต่หลังจากรัฐบาลไฟเขียวให้เปิดจุดผ่านแดนขนส่งสินค้าจำนวน 28 แห่ง 22
จังหวัดทั่วประเทศเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2563 เพื่อกระตุ้นการค้าชายแดนให้กับมาค้าขายปกติ
โดยเฉพาะด่านการค้าถาวร อ.แม่สอด จ.ตาก คึกคักเป็นพิเศษ
เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากกลุ่มทุนจากจีนเข้ามาลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็กต์ที่เมืองเมียวดี
ทำให้การค้าชายแดนบริเวณนี้กลับมามีชีวิตชีวาเหมือนเดิม ท่ามกลางปฏิบัติตามข้อกำหนดเงื่อนไข
และหลักปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตามนโนบายรัฐบาล ให้มีการนำเข้าและส่งออกสินค้าตามท่าเรือ
ท่าข้ามริมแม่น้ำเมย ชายแดน อ.แม่สอด จำนวน 21 แห่ง, อ.ท่าสองยาง 6 แห่ง, อ.แม่ระมาด 3 แห่ง, อ.พบพระ 3 แห่ง โดยใน 1 สัปดาห์จะเปิด 5 วัน คือวันจันทร์
ถึงวันศุกร์ และหยุดวันเสาร์-อาทิตย์
ระหว่างเวลา 07.00 น.- 18.00 น. โดยทุกด่านท่าเรือท่าข้ามได้เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่
6 กรกฎาคม 2563
ในช่วงที่ล็อกดาวน์พรมแดนที่ผ่านมา นายประเสริฐ
จึงกิจรุ่งโรจน์ ประธานหอการค้าจังหวัดตาก ยอมรับว่า ผู้ประกอบการการทั้ง 2
ฝั่งไทย-เมียนมา รวมทั้งประชาชนผู้บริโภคได้รับความเดือดร้อน เช่นสินค้าราคาแพง
และเกิดภาวะขาดแคลน ทั้งยังไม่มีรายได้ แต่หลังจากเปิดท่าขนส่งสินค้าแล้วจะทำให้ประชาชนทั้ง
2 ฝั่งมีการค้าขายปกติก่อให้เกิดเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 10-20 ล้านบาทต่อวัน
อีกทั้งยังจะยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนทั้งสองประเทศที่ดีและจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นตามมาด้วย
“หลังจากการค้าบริเวณตะเข็บชายแดนจังหวัดจะคึกคักเป็นพิเศษ
เนื่องจากกลุ่มทุนจากจีนแห่ลงทุนบริเวณชายแดนเมียนมา-ไทย ซึ่งจะส่งผลทำให้การค้าชายแดนไทยเป็นไปในทิศทางที่ดี
เพราะเมียนมาจะนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคจากไทยมากยิ่งขึ้น ตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคทั้งชาวจีนที่จะย้ายมาอาศัยอยู่บริเวณชายแดนจำนวนนับล้านคน
เช่นเดียวกับกับการลงทุนและการท่องเที่ยวพลอยจะได้รับอาสิงส์ด้วย”
เอกชนแม่สอดเร่งผลักดันเขตเศรษฐกิจพิเศษคู่ขนานเมืองเมียวดี
นับตั้งแต่ปี 2558 รัฐบาลประกาศให้จัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก
(แม่สอด) แต่การเดินหน้าพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษดังกล่าวยังไม่รุดหน้าเท่าที่ควร เนื่องจากมีปัญหาทางเทคนิคหลายด้าน
ทำให้การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษตากเป็นไปอย่างเชื้องช้าเมื่อเทียบกับเมืองเมียวดี ทั้งที่ประเทศไทยมีศักยภาพทุกด้าน
ทำให้กลุ่มนักลงทุนจีนหันหน้าไปลงทุนในเมียนมาแทน เพราะทุกอย่างเอื้ออำนวย
ด้วยเหตุนี้ภาคเอกชนจังหวัดแม่สอดพยายามผลักดันให้รัฐบาลเร่งพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้นมา
เพื่อให้สอดคล้องกับเมืองเมียวดีดึงดูดนักลงทุนจากจีนและต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทย เพราะตลอด
10 ปีที่ผ่านมาไทยพยายามจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษตากแต่ไม่เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม เพราะติดขัดเรื่องปัญหาเรื่องกฎหมาย
อย่างไรก็ตามเขตเศรษฐกิจพิเศษมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมไม่เกินสิ้นปีนี้หรือปีหน้า
หลังจาก พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการปกครองส่วนท้องถิ่น
เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงเดินหน้าผลักดัน อ.แม่สอด จ.ตาก เป็นพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษตาก
เนื่องจากเป็นพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ที่ตั้งจุดผ่านแดนถาวรเชื่อมต่อกับ
จ.เมียวดี สหภาพเมียนมา บนเส้นทางระเบียงสายเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก
โครงการพัฒนาระบบคมนาคม แนวทางการพัฒนาทางหลวงหมายเลข 12 (East-West Economic Corridor : EWEC) ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมและการขนส่ง
เพื่อเชื่อมโยงและรองรับยุทธศาสตร์ เขตเศรษฐกิจพิเศษตะวันออก–ตะวันตก
ทำให้ด่านพรมแดนแม่สอด-เมียวดี มีมูลค่าการค้าชายแดนนับแสนล้านบาทต่อปี
มีนักธุรกิจเดินทางมาลงทุนอย่างต่อเนื่อง อ.แม่สอด จึงเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพพร้อมรองรับการลุงทุนทั้งภาคพาณิชยกรรม-ภาคอุตสาหกรรม-ภาคเกษตร-เกษตรอุตสาหกรรม-การค้า-และการท่องเที่ยว
ฯลฯ
ทั้งนี้ประกอบกับรัฐบาลได้ประกาศให้จังหวัดตาก
เป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน และได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษตากไปแล้ว
รวมทั้งมีการจัดตั้งสำนักงานอาคารเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก (แม่สอด)
โดยมีหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องได้มาตั้งสำนักงาน
และยังมีการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานรองรับไว้มากมาย เช่น
สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมยแห่งที่ 2, อาคารที่พักสำนักและระบบรันเวย์สนามบินนานาชาติแม่สอดหลังใหม่, โครงการปรับปรุงระบบไฟฟ้าและประปา, โครงการด่านพราแดน
2, ระบบสื่อสารและเทคโนโลยี ฯลฯ แต่ที่ผ่านมาการขับเคลื่อนเขตเศรษฐกิจพิเศษตากล่าช้ามาก
เพราะมีอุปสรรคและปัญหามากมาย ซึ่งรัฐบาลกำลังดำเนินการแก้ปัญหาดังกล่าว
ปัจจุบัน “แม่สอด” เติบโตบก้าวกระโดดกลายเป็น “ขุมทอง” ของนักลงทุน เปรียบเสมือนประตูหน้าด่านสำคัญบนเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจแนวตะวันออก–ตะวันตก (East-West Economic Corridor : EWEC) มีมูลค่าการค้าชายแดนไทย-เมียนมาปีละแสนล้านบาท