คนรุ่นใหม่กำลังเติบโตและเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น
อันหมายความเจ้าของบริษัทและพนักงาน ต้องเตรียมตัวเตรียมใจทำงานกับคนรุ่นใหม่
ซึ่งได้รับการกล่าวขานถึงว่าเป็นรุ่นที่ไม่ค่อยยอมรับกฎเกณฑ์
ชอบเรียกร้องสิทธิพิเศษต่างๆ นานา มีความมั่นใจเกินร้อย ไม่อยากเรียนรู้จากใคร แถมยังชำนาญ
จนออกไปในทางเสพติดเทคโนโลยี
ก็จริงอยู่ที่ว่า คนเจนใหม่อาจดู “วุ่นวาย”
มากกว่าเจนก่อนๆ แต่ก็ไม่ได้สะท้อนว่าพวกเขาทำงานดีหรือไม่ดี เพียงแต่วิธีการทำงานของพวกเขา
‘แตกต่าง’ ออกไปเท่านั้น หากนายจ้างและเพื่อนร่วมงานเข้าใจในความต่าง
และปรับการบริหารในบางจุด ก็สามารถดึงศักยภาพและพลังงานที่ดูเหมือนมีเหลือเฟือในตัวคนรุ่นใหม่ออกมาได้อย่างไม่ยากนัก
ดังนั้นมาดูกันว่าจะบริหารคนรุ่นใหม่ได้ด้วยวิธีการใดบ้าง
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme

หาวิธีดึงความคิดสร้างสรรค์
หากอยากดึงความคิดสร้างสรรค์จากคนรุ่นใหม่
บริษัทควรมีวัฒนธรรมที่เปิดโอกาสให้พนักงานทุกคน รวมถึงพนักงานที่มีอาวุโสน้อยสุด
แชร์ไอเดียต่างๆ ได้ เช่น จะปรับปรุงสินค้าหรือกระบวนการทำงานได้อย่างไรบ้าง อย่างบริษัทโตโยต้าที่ขึ้นชื่อด้านการเปิดโอกาสให้คนงานในสายการผลิต
สามารถหยุดการผลิตได้หากพบข้อผิดพลาดด้านคุณภาพ
ส่วนเทสลามีวัฒนธรรมสนับสนุนพนักงานที่มีไอเดียเริ่ดที่สุด
อเมซอนเปิดโอกาสให้พนักงานทุกคนนำเสนอคอนเซปต์ว่าสินค้าตัวใหม่ควรเป็นอะไร
หนึ่งในข้อจำกัดด้านความคิดสร้างสรรค์ ไม่ได้อยู่ที่การไม่มีความคิดสร้างสรรค์ แต่อยู่ที่ไม่มีใครฟังความคิดสร้างสรรค์ของพนักงาน
คนรุ่นใหม่เติบโตขึ้นมาในสังคมที่บอกว่าพวกเขาสามารถทำได้ทุกอย่าง ดังนั้นนายจ้างและเพื่อนร่วมงานอาจรับฟังและแสดงความเห็นต่อไอเดียต่างๆ ที่พวกเขานำเสนอ ซึ่งการเสนอแนะและพูดคุยต่อยอดไอเดีย อาจช่วยให้มองเห็นกลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำตามทุกไอเดีย
เจนใหม่ที่มาพร้อม Passion และความมั่นใจ
หากเจอพนักงานรุ่นใหม่ประเภทที่เซย์เยสกับทุกโปรเจ็กต์
แต่ไม่ยอมลงมือทำจริงจัง พอเส้นตายใกล้เข้ามาก็หาตัวไม่เจอ หรือประเภทที่ชอบคุยว่าเคยทำงานปังๆ
มาแล้ว และมีแผนการใหญ่ในสมอง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นลงมือทำอะไรสักที
นายจ้างและเพื่อนร่วมงานสามารถรับมือพนักงานประเภทนี้
ด้วยการนำพวกเขากลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง
อย่างกำหนดให้รายงานความคืบหน้าของงานทุกวัน พร้อมคาดโทษหากวันไหนไม่รายงาน
หรืออาจแบ่ง Project ใหญ่ออกเป็นชิ้นย่อยๆ แล้วมอบหมายว่าต้องเสนอแนะความเห็นและให้คำปรึกษาในทุกชิ้นส่วนย่อยของproject
นอกจากความมั่นใจที่พกมาเกินร้อยแล้ว
คนเจนนี้ยังมาพร้อม Passion แต่บางครั้งพวกเขาก็ทำงานเท่าที่ถูกร้องขอ
เพราะยังมองไม่เห็นคุณค่าหรือความหมายในงานหรือในบริษัท
ที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้ทุ่มสรรพกำลังทั้งหมดไปกับงาน
หากนายจ้างเชื่อว่าพนักงานคนนี้มีศักยภาพ
แต่ไม่ได้แสดงออกมาอย่างเต็มที่
ก็ลองปรึกษากันในทีมเพื่อมอบหมายงานที่เหมาะกับความสนใจของพนักงาน
เพราะคนรุ่นใหม่สามารถพุ่งพรวดจากระดับ “โอเค” ไปเป็น “ซูเปอร์สตาร์” หากได้ทำในสิ่งที่พวกเขามี
Passion
เพื่อนร่วมงานสามารถให้ฟีดแบค หรือให้ความเห็น-คำแนะนำเกี่ยวกับเนื้องานของคนรุ่นใหม่ได้เช่นกัน อันจะช่วยให้พวกเขามั่นใจว่ากำลังทำในสิ่งที่มีคุณค่าและสร้างความแตกต่าง
โตมากับเทคโนโลยี
ข้อดีอย่างมากของคนเจนใหม่ คือเติบโตมาพร้อมกับคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี
ดังนั้นจึงเรียนรู้เร็วมากว่าอุปกรณ์ชิ้นนั้นทำงานยังไง
นายจ้างอาจมอบหมายให้พวกเขาช่วยสอนพนักงานคนอื่นให้เข้าใจเกี่ยวกับเครื่องไม้เครื่องมือไฮเทคที่ต้องใช้งาน
ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ มือถือ หรืออื่นๆ และหากฉายแววคล่องแคล่วเทคโนโลยีใดมากเป็นพิเศษ
นายจ้างอาจสนับสนุนให้พนักงานรุ่นใหม่ไปเรียนรู้เพิ่มเติม
จากนั้นก็นำความรู้มาพัฒนากระบวนการการทำงานขององค์กร
นอกจากนั้น ลักษณะที่โดดเด่นของเจนนี้
คือต้องการการยอมรับจากคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นนายจ้างหรือเพื่อนร่วมงาน
และงานก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในชีวิตของพวกเขาจนลงมือโพสต์โชว์ทางโซเชียลบ่อยๆ
แนวโน้มที่คนเจนนี้จะโปรโมทตัวเองออกสื่อ และความสามารถที่ลื่นไหลในการสร้างภาพ
รวมถึงการเขียนสตอรี่จากประสบการณ์ส่วนตัวและประสบการณ์การทำงาน
ทำให้พวกเขาเป็นสื่อที่ทรงพลังด้านการตลาดและการสื่อสาร
นายจ้างอาจใช้จุดนี้ ดึงพนักงานรุ่นใหม่สักคนมาเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ซะเลย โดยอาจหอบหิ้วไปร่วมทุกกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ หรือให้ดูแลด้านโซเชียลมีเดียของบริษัทก็ได้
พร้อมฉีกทุกกฎ
ชั่วโมงการทำงานที่ตายตัว
แนวทางการแต่งตัวที่เรียบร้อย การประชุมแบบมาราธอน
สิ่งเหล่านี้เป็นวิธีปฏิบัติแบบดั้งเดิมที่คนรุ่นใหม่ยากจะยอมรับได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากให้เหตุผลกับพวกเขาว่าทำอย่างนี้สืบทอดกันมานานแล้ว
เพราะคนรุ่นนี้เป็นรุ่นแฮคเกอร์ ชอบใช้ทางลัด ชอบวิธีที่ดีที่สุด
มีประสิทธิภาพที่สุด สมเหตุสมผลที่สุด และพวกเขาแคร์ “ผลลัพธ์” เท่านั้น
คนรุ่นใหม่ยังไม่อยากให้งานส่งผลแง่ลบต่อการดำเนินชีวิตในแบบที่พวกเขาต้องการ
เช่น คนรุ่นใหม่ที่เป็นโสดและชอบท่องเที่ยว อาจชอบงานที่ต้องเดินทางตลอดเวลา
ส่วนคนรุ่นใหม่ที่มีลูกแล้วอาจปฏิเสธที่จะเดินทางบ่อยๆ
แถมยังอาจขอทำงานจากบ้านในบางวัน
มีการสำรวจความเห็นในสหรัฐ ที่พบว่ากว่าครึ่งของคนรุ่นใหม่รู้สึกว่าพวกเขาได้เนื้องานที่ดีหากมีเวลาทำงานที่ยืดหยุ่น
และวิธีสื่อสารกับพวกเขาให้ได้ผล คือบอกเป้าหมาย อันได้แก่ผลลัพธ์ให้ชัดเจนก่อน แล้วปล่อยให้พวกเขาทำงานในสไตล์ของตัวเอง
คือยืดหยุ่นในวิธีการทำงาน
ดังนั้นนายจ้างอาจลองทบทวนนโยบายและกระบวนการต่างๆ รวมถึงนโยบายมอบหมายและส่งงาน ว่าควรปรับปรุงในจุดใดบ้าง แต่ต้องเน้นว่าความสำคัญอยู่ที่ความเรียบร้อยของเนื้องานเป็นหลัก ส่วนเพื่อนร่วมงานก็ทำใจร่มๆ ว่าพนักงานรุ่นใหม่มีความรับผิดชอบมากพอที่จะทำงานให้เสร็จเรียบร้อยตามที่ได้รับมอบหมาย แม้พวกเขาจะลงมือทำตอนที่รู้สึกว่านี่แหละถึงเวลาแล้วก็ตาม

แล้วถ้าพวกเขาขอเลื่อนตำแหน่งล่ะ?
นายจ้างจำนวนมากมองว่าคนรุ่นใหม่
คาดหมายความก้าวหน้าทางอาชีพการงานโดยไม่ดูความจริง เพราะขอไป “Up level”
ต่อไปทั้งที่ตัวเองยังไม่พร้อม
จริงๆ
แล้วการที่คนรุ่นใหม่หรือรุ่นที่โตมาพร้อมวิดีโอเกม เอ่ยปากขอเลื่อนตำแหน่ง
เพราะพวกเขากำลังมองหาอะไรที่ท้าทาย
ดังนั้นนายจ้างจึงควรอธิบายให้เข้าใจว่าการท้าทายแบบไหนที่สามารถเป็นจริงสำหรับพวกเขา
เช่น หากพนักงานที่เป็นคนรุ่นใหม่ซึ่งทำงานในระดับประสานงาน เข้าไปหานายจ้างเพื่อบอกว่าอยากเป็นผู้จัดการ
แล้วนายจ้างบอกว่า “อีกปีนึงค่อยมาคุยกัน” คำตอบแบบนี้คงไม่เป็นประโยชน์นัก
แต่หากนายจ้างบอกว่าต้องพัฒนาทักษะและประสบการณ์ในด้านไหนบ้างจึงจะมีสิทธิได้เลื่อนตำแหน่ง
น่าจะเป็นสิ่งที่ยอมรับได้และสมเหตุสมผลสำหรับพนักงาน ซึ่งจะกลับไปพัฒนาทักษะและเพิ่มพูนประสบการณ์ตามที่นายจ้างบอก
แม้คนเจนใหม่อาจได้รับการกล่าวขานถึงในด้านต่างๆ
แต่พวกเขาก็เหมือนคนทุกรุ่น คือมีทั้งข้อเสียและข้อดี
อีกทั้งพวกเขายังเป็นอนาคตที่สำคัญในตลาดแรงงาน
ดังนั้นหากนายจ้างและเพื่อนร่วมงานเข้าใจในสิ่งที่คนรุ่นนี้ต้องการ และช่วยเหลือให้พวกเขาได้เข้าใจโครงสร้างพื้นฐานในธุรกิจที่พวกเขาทำงานอยู่
คนเจนนี้จะเติบโตขึ้นมาและมีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำในวันข้างหน้าได้

