OPure (โอเพียว) แบรนด์รักษ์โลก การปรับตัวของผู้นำตลาดหลอดดูดน้ำพลาสติก เพื่อตอบโจทย์ตลาด Green Product

Green Product ทางเลือกที่ยั่งยืน

ความรู้และการตระหนักรู้ (Knowledge and Awareness) ของผู้บริโภคเป็นกลไกสำคัญในการเปลี่ยนผ่าน (Transformation) ซึ่งธุรกิจนำความต้องการของผู้บริโภค มาพัฒนากลยุทธ์เพื่อตอบสนองได้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง ดังจะเห็นได้ว่า ปัจจุบัน เรื่อง Net Zero หรือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ส่งผลให้สินค้าที่ผลิตจากวัสดุธรรมชาติ หรือวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Product) เป็นเมกะเทรนด์ที่ผู้บริโภคทั่วโลกให้ความสำคัญ ธุรกิจจึงนำเหตุนี้มาเป็นจุดแข็ง และจุดขายเพื่อขยายการเติบโตสู่ความยั่งยืน (Sustainability) ตามกระแสการค้าโลกสมัยใหม่

จากกรณีศึกษาบริษัท บีแอนด์บี สตรอว์ แพค จำกัด โรงงานผู้ผลิตหลอดดูดน้ำทุกประเภท และถุงพลาสติก ตั้งอยู่ที่ถนนเทพารักษ์ 22 ตำบลบางเสาธง อำเภอบางเสาธง สมุทรปราการ ในรูปแบบการรับจ้างผลิต (OEM) เป็นธุรกิจครอบครัว (Family Business ) ที่ก่อตั้งเมื่อปี 2544 โดย คุณสุชาติ เพชรดาษดา ปัจจุบันดำเนินธุรกิจมา 30 ปี ได้สืบทอดธุรกิจมาถึงทายาทรุ่นที่ 2 และได้นำนวัตกรรมใหม่เพื่อพัฒนาสินค้า ให้ตอบสนองทุกความต้องการลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมายแบบ One Stop Service สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่ตระหนักถึงปัญหาขยะพลาสติกจากบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มแบบใช้ครั้งเดียว (Single Use) จนนำไปสู่การวิจัยและพัฒนาสินค้า (Research and Development) เพื่อสร้างแบรนด์รักษ์โลกมุ่งขยายการเติบโตในตลาดสีเขียว (Green Market)

Disrupt ก่อนที่ธุรกิจจะโดน Disrupt !

คุณรังสินี เพชรดาษดา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท บีแอนด์บี สตรอว์ แพค จำกัด กล่าวว่า นับย้อนไปช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เนื่องด้วยเทรนด์ผู้บริโภคที่ตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมจากขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง จนเกิดเป็นกระแสแอนตี้การใช้พลาสติก เหตุนี้ ‘บีแอนด์บี สตรอว์ แพค’ ในฐานะผู้นำในตลาดหลอดดูดน้ำและถุงพลาสติก จึงต้องปรับตัว แม้ด้วยดีมานด์และซัพพลายของตลาดบรรจุภัณฑ์ทางเลือกเพื่อสิ่งแวดล้อมในขณะนั้นยังมีทิศทางไม่เด่นชัดนัก ทว่า เราพิจารณาถึงการเติบโตในระยะยาวจึงเห็นว่าตลาดนี้มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้น ทั้งจากพฤติกรรมของผู้บริโภคและกติกาการค้าโลกสมัยใหม่

ดังนั้น เราจึงนำความเชี่ยวชาญที่มี คือ การรับจ้างผลิตสินค้ากลุ่มหลอดดูดน้ำทุกประเภทและถุงพลาสติก มาต่อยอดทำวิจัยและพัฒนาเพื่อผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพิ่มทางเลือกใหม่ ๆ ตามความต้องการของตลาด และการตระหนักรู้ของผู้บริโภคยุคใหม่ โดยพัฒนาหลอดกระดาษ และหลอดดูดน้ำพลาสติกชีวภาพ หรือ หลอด Bio (Compostable) ที่ผลิตจากข้าวโพด สามารถย่อยสลายตามธรรมชาติได้ 100 % ได้ภายใน 180 วัน โดยสามารถทิ้งรวมกับเศษอาหารซึ่งมีจุลินทรีย์ที่ช่วยในการย่อยสลาย ไม่ก่อให้เกิดสารตกค้างในดิน เป็นสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุดเท่าที่มีในตลาดปัจจุบัน เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภค ร้านค้า และธุรกิจต่าง ๆ

ปั้นแบรนด์ OPure ทางเลือกเพื่อตลาดสีเขียว

OPuer (โอเพียว) ต่อยอดธุรกิจด้วยการสร้างแบรนด์ (Branding) จากการแตกไลน์สินค้ากลุ่มใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดสีเขียว ด้วยผลิตภัณฑ์รักษ์โลก แบ่งเป็น 4 กลุ่ม คือ 1. บรรจุภัณฑ์ประเภทกล่องอาหารและแก้วน้ำที่ทำจากกระดาษ 2.หลอดกระดาษ-หลอดไบโอพลาสติก (Bio PLA) 3.ถุงกระดาษ และ 4.ถุงไบโอพลาสติก (Bio PLA) โดยกระบวนการผลิตได้รับการรับรองด้วยมาตรฐานคุณภาพระดับสากล ISO 9001: 2015, GMP, HACCP และ FSSC 22000

“เราเป็นธุรกิจที่ตระหนัก และให้ความสำคัญกับปัญหาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมาจึงกำหนดเป้าหมายการพัฒนาสินค้าที่เป็นมิตรต่อโลก”

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการผลิต โรงงานเรามีการปรับเปลี่ยนอยู่พอสมควร ทั้งการปรับใช้จากไลน์ผลิตเดิม รวมถึงการลงทุนเพิ่มเพื่อพัฒนาในส่วนใหม่ ๆ และด้วยขีดความสามารถของบริษัท ที่มีแผนก R&D เป็นของตนเอง ทำให้การปรับปรุงส่วนการผลิตสามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น ปัจจุบัน โรงงานสามารถผลิตสินค้าตอบสนองความต้องการของตลาดในทุกกลุ่มสินค้า ไม่ว่าจะเป็นหลอดดูดน้ำและถุงพลาสติก ตลอดจนรายสินค้าในกลุ่มรักษ์โลกภายใต้แบรนด์ OPure

ขณะที่สัดส่วนของตลาดบรรจุภัณฑ์อาหาร และเครื่องดื่มรักษ์โลก ปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนไปมากพอสมควร ซึ่งผู้บริโภคเป็นผู้กำหนดทิศทางในตลาดนี้ โดยจะเห็นว่า ช่วงหลายปีที่ผ่านมา กระแสรักษ์โลก การแอนตี้บรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่เป็นพลาสติก เป็นปัจจัยเร่งให้ผู้ผลิต และตลาดมีการปรับตัว ตลอดจนพัฒนาเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อสื่อสารกับผู้บริโภคสายกรีน ที่มองหาทางเลือกเพื่อสิ่งแวดล้อม แม้จะมีต้นทุนที่สูงกว่าพลาสติกก็ตาม ด้วยพิจารณาว่าตลาดสีเขียวจะเป็นตลาดที่ยังขยายการเติบโตได้อีกมากในอนาคต

Brand Position

คุณรังสินี วิเคราะห์ว่า แบรนด์ OPure ยังสามารถสร้างการเติบโตได้อีกไกล ทั้งจากจุดแข็งในแง่ของการที่ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง (HUB) ด้านการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมไบโอพลาสติก ซึ่งปัจจุบันมีผู้ผลิตรายใหญ่ชั้นนำของโลกหลายรายมีการตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย ทำให้เป็นหนึ่งจุดแข็งในแง่ของต้นทุนและซัพพลายเชนวัตถุดิบในกระบวนการผลิต

ประกอบกับทิศทางของตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ ที่ใส่ใจเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทุกวันนี้มีร้านค้าหรือSME รายใหม่เกิดขึ้นมากมาย แต่ผู้ประกอบการเหล่านั้นอาจไม่มีเวลาไปเลือกสรรสินค้าที่เป็นสินค้ารักษ์โลกมากนัก เหตุนี้ เราในฐานะผู้นำตลาดนี้จึงกำหนดกลยุทธ์ธุรกิจให้เป็น One Stop Services เน้นตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม มีบรรจุภัณฑ์ให้เลือกใช้หลากหลาย ครบจบในที่เดียวทุกความต้องการ ส่งผลให้ปัจจุบันเรามีลูกค้าในทุกขนาด ตั้งแต่ คาเฟ่ ร้านอาหาร และโรงแรม กระนั้นยังมีอีกหลายธุรกิจที่เราพยายามเจาะตลาดสีเขียวต่อไป

คุณลักษณะและข้อจำกัดของบรรจุภัณฑ์

คุณรังสินี แนะนำสำหรับร้านค้าและธุรกิจที่ใช้บรรจุภัณฑ์ทางเลือกเพื่อสิ่งแวดล้อม โดยเปรียบเทียบระหว่าง บรรจุภัณฑ์จากพลาสติกชีวภาพและบรรจุภัณฑ์จากกระดาษว่า ทั้งสองชนิดมีข้อจำกัดและการนำไปใช้งานที่แตกต่าง ขึ้นอยู่เจ้าของแบรนด์หรือเจ้าของธุรกิจที่จะนำไปใช้งานในวัตถุประสงค์ใด อาทิ หลอดที่ผลิตจากกระดาษ จะมีรูปลักษณ์และเนื้อสัมผัสที่แตกต่างจากพลาสติกชีวภาพ ทั้งความทนทาน ความแข็งแรงอาจไม่ได้เทียบเท่า และบางขณะผู้บริโภคหรือลูกค้าที่ใช้บริโภคเครื่องดื่มอาจรู้สึกไม่คุ้นชินกับกระดาษ

ขณะที่ผลิตภัณฑ์กลุ่มพลาสติกชีวภาพ (Bio PLA) ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่มีข้อจำกัดในด้านอายุการใช้งานที่สั้นกว่าผลิตภัณฑ์ที่เป็นพลาสติก ทั้งต้องมีการเก็บรักษาอย่างถูกวิธี เพื่อให้สามารถคงรูป มีอายุการใช้งานที่ไม่เสื่อมสภาพก่อนนำไปใช้ เหตุนี้ การให้ความรู้แก่ธุรกิจ หรือผู้บริโภคในส่วนนี้ก็มองว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้ผลิตจะต้องสร้างการรับรู้ หรือส่งต่อความรู้แก่ผู้บริโภคอย่างถูกต้องด้วย ทั้งต้องพิจารณาที่ความเหมาะสมของผลิตภัณฑ์แต่ละประเภท เพื่อให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของร้านค้า

ด้วยเหตุนี้การผลิตและพัฒนาสินค้า จึงต้องเน้นตอบโจทย์ทุกความต้องการ และทุกตลาด เนื่องจากเราเป็นผู้นำในตลาดนี้ ไม่ว่าเทรนด์ลูกค้าไปในทิศทางไหน หรือชอบอะไรก็สามารถผลิตได้ตามความต้องการ ตลอดจนที่ผ่านมาแบรนด์ได้มีการแนะนำ และให้ความรู้ลูกค้า-ผู้บริโภค ผ่านช่องทางเว็บไซต์ของบริษัทและช่องทางFacebook ของแบรนด์ OPure มาอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ แต่เดิม Bio PLA มีอายุการเก็บรักษา (Shelf life) ประมาณ 6 เดือน ถึงกระนั้นเราก็ไม่ได้พิจารณาว่าสิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรคสำคัญ เพราะทุกอย่างสามารถวางแผนหรือบริหารจัดการได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนการร่วมกันคิดค้นและพัฒนากับผู้ผลิตเม็ดพลาสติกชีวภาพ ให้สามารถคงรูปและมีอายุการเก็บรักษาที่นานขึ้นได้ด้วย ปัจจุบันจึงสามารถเก็บรักษาได้ยาวนานถึง 18 เดือน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร้านค้าและธุรกิจ และเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้ตอบสนองความต้องการที่ดียิ่งขึ้น ด้วยการลดการสูญเสียโดยไม่จำเป็น

สำหรับ End User เรามีคำแนะนำว่า ผลิตภัณฑ์ที่เป็น Bio PLA ภายใต้แบรนด์ OPure สามารถทิ้งไปพร้อมกับเศษอาหารได้เลยโดยจุลินทรีย์ในเศษอาหารต่าง ๆ จะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา และย่อยสลายตามธรรมชาติภายใน 180 วัน โดยที่เราไม่ต้องแยกเศษอาหารกับภาชนะที่ใช้แล้ว

การปรับตัวของธุรกิจ และแนวโน้มตลาดสีเขียว

คุณรังสินี กล่าวว่า ที่ผ่านมาธุรกิจปรับตัวเยอะมาก และการที่เราเป็นทายาทธุรกิจรุ่นที่ 2 ของธุรกิจครอบครัว ยิ่งต้องปรับตัว และปรับเปลี่ยนเพื่อให้สามารถกำหนดกลยุทธ์ หรือทิศทางของธุรกิจไปให้สอดรับกับความต้องการของตลาดยุคใหม่ เริ่มจากจะต้องพัฒนาระบบหลังบ้านให้มีความเข็มแข็ง ปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาในรูปแบบใหม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ส่ามารถดำเนินการให้เสร็จได้ภายในช่วงสั้น ๆ ดังนั้นจึงต้องใช้ความมุ่งมั่น ทุ่มเท และต่อเนื่องในการสร้างสิ่งใหม่ให้เกิดขึ้น เป็นการสานต่อและต่อยอดไปในทิศทางที่ธุรกิจควรจะเป็นตามยุคสมัย

รวมถึงการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพงาน อาทิ การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยทำระบบ AI Information ช่วยจัดการในทุกแผนกของบริษัท ทั้งในส่วนของบุคลากร บัญชี การจัดการข้อมูล และนำระบบ Automation มาปรับปรุงและพัฒนาการผลิตต่าง ๆ และลดต้นทุนด้านแรงงานในบางส่วน แม้อาจจะไม่ได้ครอบคลุมในทุกส่วนแต่ก็ถือว่าบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้

อย่างไรก็ตาม ด้วยดีมานด์และซัพพลายในปัจจุบัน ต้นทุนของหลอดดูน้ำและบรรจุภัณฑ์ทางเลือกเพื่อสิ่งแวดล้อมยังสูงกว่าพลาสติกประมาณ 3 เท่า ขณะที่ลูกค้าที่เปลี่ยนมาใช้สินค้านรักษ์โลกมีประมาณ 10 % กระนั้นหากพิจารณาแนวโน้มตลาดสีเขียวจะเห็นว่าปัจจัยที่นอกเหนือจากความต้องการของผู้บริโภค ในส่วนของนวัตกรรมใหม่ และเทคโนโลยีชั้นสูงในปัจจุบันจะทำให้สามารถลดต้นทุนสินค้ารักษ์โลกลงได้ เหตุนี้จึงพิจารณาว่า สัดส่วนของตลาดสีเขียวจะยังคงเพิ่มขึ้นในทุกปี ขณะที่การดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นเมกะเทรนด์ที่มีความยั่งยืนจะเป็นโอกาสครั้งสำคัญในการสร้างการเติบโตของธุรกิจ

จุดแข็งของธุรกิจ

คุณรังสินี ให้มุมมองการทำธุรกิจว่า เราสามารถยืนหยัดและเป็นผู้นำในธุรกิจได้ด้วยการปรับตัว จากการพิจารณาทิศทางของตลาดและผู้บริโภค และสิ่งสำคัญ คือความรวดเร็ว เพื่อให้สามารถพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของตลาดได้ทันเวลา

“เราอาจจะไม่ได้เก็บเกี่ยวทุกอย่างที่เกิดขึ้น หรือทุกเทรนด์ที่มี แต่จะพิจารณาถึงความเป็นไปได้โดยการศึกษาตลาดและผู้บริโภค เพื่อนำมาพัฒนาสินค้าเป็นทางเลือกได้เหมาะสมที่สุด หรือตรงตามความต้องการของตลาดในช่วงเวลานั้น ดังนั้นจึงต้องพิจารณาโอกาสและกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เราต้องการเข้าถึงอย่างถ่องแท้ก่อนนำสินค้าเข้าสู่ตลาด”

วันนี้กระแสการใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในอนาคตจะเพิ่มขึ้นจนเป็นบรรจุภัณฑ์ที่เข้ามาแทนบรรจุภัณฑ์อย่างโฟมและพลาสติก ดังนั้นเพื่อเป็นการรองรับตลาดสาย Green ผู้ประกอบการ SME ควรให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์สินค้ารักษ์โลก เพื่อเป็นการตระหนักต่อ สิ่งแวดล้อมพร้อมทั้งค้นคว้าวิจัยและมุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมใหม่ เพื่อให้โลกและธุรกิจเดินเคียงคู่สู่ความยั่งยืนไปพร้อมกันได้อย่างมั่นคง

ติดตามเพิ่มเติมได้ที่:

ถนนเทพารักษ์ 22 ตำบลบางเสาธง อำเภอบางเสาธง สมุทรปราการ

https://www.bandbstrawpack.com/

https://web.facebook.com/opurethailand/?_rdc=1&_rdr