‘อรอุมา คลินิก’ คิดค้นอินโนเวชัน ธุรกิจดูแลเส้นผมครบวงจร

ปัญหาเส้นผม เรื่องใกล้ตัว

            จากความสนใจใน Pain Point เส้นผม ของ พญ.อรอุมา พันธ์อภิวัฒน์ ผู้บริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท อรอุมา คลินิก จำกัด วิเคราะห์โจทย์ปัญหาดังกล่าว นำมาสู่การก่อตั้ง ‘อรอุมา คลินิก’ ศูนย์เพื่อการดูแลเส้นผมอย่างครบวงจร

ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme 

Pain Point เส้นผม สู่การทำธุรกิจ

            พญ.อรอุมา พันธ์อภิวัฒน์ ผู้บริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท อรอุมา คลินิก จำกัด เผยว่า หลังจากจบการศึกษาแพทยศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ศึกษาต่อด้านผิวหนังกับทางสถาบันโรคผิวหนังซึ่งมีการเรียนเกี่ยวกับเส้นผม ทำให้ทราบว่ามีปัญหาที่เกิดกับผมค่อนข้างเยอะ (ผู้ชายประมาณ 95% จากทั่วโลก) ประกอบกับมีการผ่าตัดและงานหัตถการที่ตนเองให้ความสนใจ จึงอยากทำงานในส่วนของเส้นผมเพิ่มเติม

หลังจากเรียนจบจากสถาบันผิวหนัง ได้ไปเรียนต่อเกี่ยวกับเส้นผมโดยตรงที่ต่างประเทศ กลายเป็นจุดเริ่มต้นในการทำธุรกิจจริงจัง โดยที่ก่อนหน้านี้มีประสบการณ์ในการเป็นพาร์ทเนอร์ให้กับคลินิกผิวหนังแห่งหนึ่งช่วงเรียนจบ

“ขณะนั้นแม้ว่าคลินิกผิวหนังตลาดกำลังบูม แต่ธุรกิจสำหรับเส้นผมมีค่อนข้างน้อย ทำให้บริษัท อรอุมา คลินิก จำกัด ถือเป็นอันดับแรกๆ ของเมืองไทย ในการทำธุรกิจเกี่ยวกับการดูแลเส้นผม โดยปัจจุบันคลินิกก้าวเข้าสู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเกี่ยวกับเส้นผมเป็นปีที่ 10”

ความแตกต่างระหว่างการเป็นหมอกับทำธุรกิจ

พญ.อรอุมา กล่าวว่า มีความแตกต่างค่อนข้างเยอะพอสมควร โดยการเป็นหมอเน้นในด้านการรักษาผู้ป่วย - คนไข้เป็นหลัก แต่การทำธุรกิจต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆ เพิ่มขึ้น เช่น การจะทำอย่างไรให้ผู้คนรู้จัก การตลาด ระบบบัญชี ไปจนถึงการบริหารบุคลากร

หลังจากตนเองเรียนจบแพทย์ยังไม่มีความรู้ด้านธุรกิจ จึงจำเป็นต้องเรียนรู้ - หาความรู้เพิ่มเติมใหม่ทั้งหมด ซึ่งมีทั้งเรียนคอร์สด้านธุรกิจต่างๆ ไปจนถึงการมีที่ปรึกษาด้านการทำธุรกิจ

คิดค้นอินโนเวชัน ตอบโจทย์ปัญหาเส้นผมตรงจุด

            ในเรื่องนี้ พญ.อรอุมา ให้ความรู้ว่า การดูแลเส้นผมของคลินิกจะมีอินโนเวชันในการรักษา ซึ่งหากย้อนกลับไปในอดีตการผ่าตัดปลูกผมมีมานานแล้ว โดยเป็นการลงมีดบริเวณหนังศีรษะ แล้วมีการเย็บแผลประมาณ 10 เซนติเมตร ส่งผลให้คนไข้ต้องใช้ระยะเวลาพักฟื้นนาน เกิดแผลเป็นบริเวณด้านหลังศีรษะ

ทางคลินิกจึงมีการค้นคว้าเพื่อพัฒนาอินโนเวชัน โดยการทำวิจัยร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เกี่ยวกับการปลูกผม ช่วยให้ไม่ต้องผ่าตัดและเย็บแผล ทำให้ระยะการพักฟื้นของคนไข้สั้นลง สามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้ภายใน 24 - 48 ชม.

            นอกจากนี้คลินิกยังมี Triple H program ซึ่งเป็นอินโนเวชันโปรแกรมที่ช่วยในการทำทรีตเมนต์ กระตุ้นให้ผมเส้นเล็กๆ หนาขึ้น ซึ่งโปรแกรมนี้เกิดจากการที่คลินิกเห็น Pain Point ของคนไข้ที่มีปัญหาเส้นผม ซึ่งมีความวิตกกังวลว่ากินยาแล้วจะเกิดผลข้างเคียง หรือการผ่าตัดปลูกผมที่อาจต้องพักฟื้นนาน มีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายที่สูง

            “Triple H program คือการป้องกันไม่ให้ตัวโรคเป็นเร็ว และช่วยฟื้นฟูเส้นผมให้ดีขึ้น คลินิกจึงคิดค้นการทำทรีตเมนต์นี้ขึ้นมา โดยมีการนำเลเซอร์เข้ามากระตุ้นรากผมด้วย กลายเป็นอีกหนึ่งอินโนเวชันเข้าสู่ปีที่ 5 แล้ว”

‘วิทยาการดูแลเส้นผม’ ต่างประเทศกับเมืองไทยแตกต่างกันอย่างไร?

            ผู้บริหารและผู้ก่อตั้ง อรอุมา คลินิก เผยว่า ไม่แตกต่างกัน เนื่องจากวิธีการที่คลินิกนำมาใช้ รวมถึงอินโนเวชันต่างๆ เช่น การรักษา ผ่าตัด ตัวยา สูตรยาที่ใช้ มีมาตรฐานเดียวกันกับระดับโลก คลินิกมีการทำวิจัยกับเรื่องยีนของคนไข้เนื่องจากโรคเกี่ยวกับผมบางจากพันธุกรรม ต้องมีการตรวจหายีนตัวหนึ่งซึ่งกระตุ้นทำให้ผมร่วงและบางที่รุนแรง

            เมื่อคลินิกวัดยีนตัวนี้ก็จะสามารถคาดการณ์ได้ว่า ในอนาคตคนไข้มีความเสี่ยงผมร่วงผมบางมากน้อยเพียงใด จากนั้นก็จะมีการวางแผนรักษาให้กับคนไข้ได้

Medical Hub ด้านเส้นผม

            สำหรับเรื่องนี้ พญ.อรอุมา กล่าวว่า ในปี 2565 จะมีการขยายธุรกิจจากคลินิกศูนย์ดูแลเส้นผมกลายเป็นโรงพยาบาลที่สุขุมวิท 58 โดยเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านเส้นผม ซึ่งมีความตั้งใจให้เป็น Leading ทางเส้นผมในเอเชีย เนื่องจากอินโนเวชันที่มี การไปพรีเซนต์ในต่างประเทศ รวมถึงผลงานที่ผ่านมาผู้คนให้การยอมรับ ทำให้มีแพทย์ในและต่างประเทศเข้ามาศึกษาดูงานค่อนข้างเยอะพอสมควร

          โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านเส้นผมในเมืองไทยและเอเชียมีค่อนข้างน้อย บริษัทมองเห็นโอกาสตรงนี้ ในการเปลี่ยนจากคลินิกให้เป็น Medical Hub ด้านเส้นผม รวมทั้งมีการรักษาและการดูแลแบบ Wellness ซึ่งการจะทำให้โรงพยาบาลได้มาตรฐานระดับสากล ต้องมีการเทรนนิ่งบุคลากร การสอบวัดระดับเพื่อให้สามารถเข้าไปทำงานในห้องผ่าตัดได้ รวมถึงการให้พนักงานไปศึกษาความรู้เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง

“การจดทะเบียนเป็นคลินิกสามารถทำได้เลย แต่การเปลี่ยนจากคลินิกเป็นโรงพยาบาล แม้ฟังก์ชันการทำงานจะไม่ต่างกัน แต่ต้องมีมาตรฐานต่างๆ เข้ามารับรอง เช่น มาตรฐาน HA (Hospital Accreditation), KPI (Key performance indicator), ISO”

นอกจากนี้จะมีการทำอะคาเดมีแชร์ความรู้ เป็นแหล่งความคิดเพื่อให้เกิดอินโนเวชันใหม่ๆ ซึ่งเกิดจากการแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นของทีมแพทย์แต่ละแห่ง

            คลินิกมีแผนธุรกิจที่วางไว้สำหรับ 5 ปี โดยเป็นแผนขยายธุรกิจในประเทศ รวมถึงการให้ชาวต่างชาติเข้ามารักษาและใช้บริการในลักษณะ Medical Tourism เนื่องจากเมืองไทยมีนักท่องเที่ยวมาเยือนอันดับต้นๆ ของโลก โดยคลินิก ณ ปัจจุบันมีสัดส่วนคนไข้ต่างประเทศมารับการรักษาค่อนข้างเยอะพอสมควร แต่ด้วยสถานการณ์โควิด 19 ส่งผลให้แพลนดังกล่าวช้ากว่ากำหนด

แผน 5 ปีของบริษัท นอกจากมีโรงพยาบาลแล้ว จะมีการขยายธุรกิจไปตามจังหวัดต่างๆ ซึ่งเป็นในลักษณะการให้บริการทรีตเมนต์ เนื่องจากการดูแลเส้นผมเป็นการรักษาแบบต่อเนื่อง การมีสาขารองรับจะช่วยให้คนไข้เข้าถึง ‘อรอุมา คลินิก’ ได้ง่ายขึ้น

พลิกวิกฤตโควิดเป็นโอกาส ด้วยการนำ Telemedizine มาปรับใช้

            พญ.อรอุมา เล่าว่า สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด 19 ทำให้บริษัทเรียนรู้ในการเผชิญกับปัญหาต่างๆ เกิดแนวคิดพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ด้วยการทำ ‘Online Consult’ โดยคลินิกมีฐานคนไข้ประมาณ 40,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่จะเข้ามารักษาเดือนละ 1 - 2 ครั้ง ช่วงเกิดการระบาดคนไข้ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดไม่สามารถเข้ามาใช้บริการได้ คลินิกจึงนำ Telemedizine มาใช้ในลักษณะ ‘Online Consult’ เพื่อให้คนไข้ได้ปรึกษากับแพทย์ รวมถึงติดตามการรักษาทางออนไลน์ ถือเป็น Process Innovation นำมาใช้ในการติดตามคนไข้ ซึ่งมีอัตราเติบโตถึง 200%

ด้วยความตั้งใจในการตีโจทย์ Pain Point เส้นผม ก่อเกิดแนวความคิดในการทำธุรกิจให้กับ พญ.อรอุมา พันธ์อภิวัฒน์ ผู้บริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท อรอุมา คลินิก จำกัด โดยมีเป้าหมายในการทำให้ ‘อรอุมา คลินิก’ กลายเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทาง Medical Hub ด้านเส้นผม แถวหน้าของเอเชียในอนาคตอันใกล้

รู้จัก ‘บริษัท อรอุมา คลินิก จำกัด’ เพิ่มเติมได้ที่

https://www.drornhaircenter.com/tag/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%9C%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%A3/

https://web.facebook.com/Dr.ornclinic/