“เชื่อว่าไม่มีใครชอบกินยา”
แต่ทราบหรือไม่ว่า สถานประกอบกิจการที่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจเกี่ยวกับยาทั้งยาแผนปัจจุบันและแผนโบราณในประเทศไทยจากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
(อย.) ที่ระบุสถิติในปีพ.ศ. 2561(อัพเดต ตุลาคม 2561) มีจำนวนถึง 27,165
กิจการ ประกอบด้วย :
1.กิจการขายยาแผนปัจจุบัน
2.ขายยาแผนปัจจุบันเฉพาะยาบรรจุเสร็จที่ไม่ใช่ยาอันตรายหรือควบคุมพิเศษ
3.ขายยาแผนปัจจุบันเฉพาะยาบรรจุเสร็จสำหรับสัตว์
4.ขายส่งยาแผนปัจจุบัน
5.นำหรือสั่งยาแผนปัจจุบันเข้ามาในราชอาณาจักร
6.ผลิตยาแผนปัจจุบัน
7.ขายยาแผนโบราณ และ
8.นำหรือสั่งยาแผนโบราณเข้ามาในราชอาณาจักร
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
โดยพื้นที่ที่มีธุรกิจในด้านยามากที่สุดคือในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
ที่มีถึง 7,481 กิจการ ในจำนวนนี้มี 5,233 กิจการเป็นธุรกิจร้านขายยาที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
เขตที่มีร้านขายยามากที่สุดคือ เขตบางกะปิ มีจำนวน 311 ร้าน รองละมาคือ
เขตจตุจักรและเขตบางเขน ที่มีร้านขายยา 225 ร้านและ 213 ร้าน ตามลำดับ
เขตที่มีร้านขายยาน้อยที่สุดคือเขตบางกอกใหญ่มีจำนวน 49 ร้าน
เรื่องนี้บ่งบอกอะไร ...?
สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม อ้างอิงข้อมูลในปี
2560 ร้านขายยาทั่วประเทศ(ยาทุกประเภท)มีมูลค่าตลาดรวมถึง 40,000 ล้านบาท ด้วยเหตุนี้มองในด้านโอกาสทางธุรกิจมูลค่าตลาดดังกล่าวยังมากกว่ามูลค่าธุรกิจขนส่งในประเทศไทยปี 2561
ที่มีมูล 30,000 ล้านบาทด้วยซ้ำ!
ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ข้อมูลของกระทรวงสาธารณะสุขที่รายงานภาระโรคและการบาดเจ็บของประชากรไทยพ.ศ. 2560 พบว่า
ข้อมูลจากเภสัชกรรมสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
ระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้มูลค่าอุตสาหกรรมยาในประเทศเติบโตส่วนหนึ่งมาจากปัญหาสุขภาพของคนในประเทศ
พฤติกรรมการใช้ยาของคนไทย การเข้าถึงหลักประกันสุขภาพของคนไทยที่ดีขึ้น และที่เป็นประเด็นที่น่าสนใจคือไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุ
ความหมายคือประชากรไทยที่มีจำนวน 69 ล้านคน ร้อยละ 14 ของเป็นคนที่มีอายุ 60
ปีหรือมากกว่า และคนเหล่านี้มีปัญหาสุขภาพที่ต้องพึงพายาและเวชภัณฑ์
ด้วยเมกะเทรนด์สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ (Aged Society) นี้เองที่ทำให้ธุรกิจโรงพยาบาลในปี
2561 มีมูลค่าถึง 1 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้ยังไม่นับรวมกับอุตสาหกรรมยาที่ประมาณการณ์ว่าอัตราเฉลี่ยเติบโตที่ร้อยละ
5 ต่อปี มูลค่าตลาดประมาณ 4 หมื่นล้านบาท แต่หากโฟกัสที่อุตสาหกรรมยาที่แม้จะเป็นตลาดขนาดใหญ่
แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นการนำเข้ายาและสารออกฤทธิ์จากต่างประเทศ ทั้ง สหรัฐฯ ยุโรป
และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่มีศักยภาพด้านบุคลากรที่มีองค์ความรู้
และมีเทคโนโลยีในการผลิตสูง โดย ประเทศเหล่านี้สามารถส่งออกเพื่อตอบสนองความต้องการยาและเวชภัณฑ์ทั่วโลก
ขณะที่ผู้ผลิตยาในประเทศไทยยังต้องแข่งขันกันอย่างเข้มข้น
โดยรายใหญ่ผู้ผลิตยา อาทิ องค์การเภสัชกรรมแห่งประเทศไทย และผู้ประกอบการที่เป็นเอกชนรายใหญ่
แต่ยังถือว่ามีการเติบโตได้ในเกณฑ์ดี ทางด้านผู้ประกอบการรายเล็กยังต้องเผชิญกับภาวะการณ์แข่งขันที่รุนแรง
ทั้งจากผู้ผลิตยาในประเทศ และผู้นำเข้ายาจากต่างประเทศ
เพราะส่วนส่วนการผลิตยายังถือว่าแข่งขันภายในสูงรายเล็กๆ
เงินทุนไม่มากอาจเผชิญการแข่งขันได้ไม่นานนัก
ส่วนของธุรกิจร้านขายยาที่เป็นกระแสยอดนิยมในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็มีจำนวนมากที่ไม่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันมีธุรกิจร้านขายยาแผนปัจจุบันขนาดใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศต่างเร่งขยายสาขาให้กระจายครอบคลุมพื้นที่มากยิ่งขึ้น อาจทำให้รายย่อยที่เป็นร้านยาขนาดเล็กต้องเจอการแข่งขันที่สูงขึ้นเช่นกัน แต่ก็ขึ้นอยู่กับทำเลของร้านด้วย แม้เป็นร้านเล็กแต่อยู่ในเขตชุมชนที่มีศักยภาพก็ยังถือว่าธุรกิจยังไปต่อได้
สุดท้าย ธุรกิจร้านขายยาไม่ใช่โอกาสที่ดีนักสำหรับคนทั่วไปที่มองหาการลงทุน แต่สำหรับคนที่จะประกอบธุรกิจด้านยานอกจากต้องศึกษากฎระเบียบต่างๆ อย่างละเอียด และความคืบหน้าล่าสุดยังต้องไปดู “พระราชบัญญัติยา (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๖๒” ที่ประกาศไปเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2562 ที่ผ่านมาด้วย และจะประกาศใช้ภายใน 180 วัน ซึ่งสามารถติดตามอ่านฉบับเต็มได้ที่ http://bit.ly/2IA4o7I