ปัญหาของฟิลิปปินส์ที่ผ่านมาคือ
ผลผลิตข้าวไม่เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ
ทั้งต้องพึงพาการนำเข้าจนมีการประมาณการว่าในปีนี้
ฟิลิปปินส์จะเป็นประเทศที่มีการนำเข้าข้าวมากที่สุดในโลกแซงหน้าประเทศจีน
สาเหตุหลักคือผลผลติข้าวเปลือกในประเทศราคาต่ำ ไม่จูงใจเกษตรกรให้ปลูก
ด้วยเหตุนี้ ช่วงที่ผ่านมากระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ได้มีการออกมาสนับสนุน ‘ข้าวสีทอง’ ว่ามีความปลอดภัยเหมือนข้าวธรรมดาทั่วไป และสามารถนำมาบริโภคต่อสู้กับปัญหาการขาดวิตามินเอได้ โดยเฉพาะในเด็ก ซึ่ง ‘ข้าวสีทอง’ เป็นพันธุ์ข้าวที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยใช้วิธีทางพันธุวิศวกรรม หรือการตัดต่อยีนส์ (Genetically Modified Organism- GMO) ซึ่งกระทรวงเกษตรของฟิลิปปินส์เคลมว่าให้เบตา-แคโรทีนมากกว่าข้าวทั่วไปถึง 20 เท่า ดังนั้นการส่งเสริมข้าวสีทองก็เพื่อลดภาวะการณ์ขาดวิตามินเออันเป็นภัยร้ายแก่เด็กทั่วโลก
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
แต่เป็นที่ทราบดีว่า พืช GMO
ยังไม่เป็นที่ต้องการของตลาดโลกและคนทั่วไป
ทำให้ที่ผ่านมาข้าวสีทองถูกต่อต้านอย่างรุนแรงจากองค์กรกรีนพีซ ซึ่งได้ยื่นอุทธรณ์ต่อกระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์อย่างเป็น
ทางการเพื่อให้เพิกถอนการอนุมัติข้าวดัดแปลงพันธุกรรมดังกล่าว
โดยอ้างว่าเป็นการอนุมัติบนข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์และขาดความโปร่งใสและการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการ
ทางด้าน
นาย Adrian Dubock เลขาธิการคณะกรรมการ
ด้านมนุษยธรรมของข้าวสีทอง (Golden Rice) ได้ออกมาสนับสนุนและปกป้องกระทรวงเกษตรของฟิลิปปินส์ที่ได้ออกใบอนุญาตด้านความปลอดภัยทางชีวภาพไปยังสถาบันวิจัยข้าวฟิลิปปินส์
และสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ (IRRI) สำหรับเพื่อใช้บริโภคเป็นอาหาร
หรืออาหารสัตว์ รวมถึงการแปรรูป และได้กล่าวเพิ่มเติมว่า
หน่วยงานกำกับดูแลของฟิลิปปินส์
มีประสบการณ์มากเพียงพอในการพิจารณาความปลอดภัยของพืชที่มีการดัดแปลงพันธุกรรม
ซึ่งความจริงที่พืชดัดแปลงพันธุกรรมทั้งหมดที่มีในฟิลิปปินส์เป็นผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์
ในขณะที่ข้าวสีทองนั้นไม่ใช่การผลิตเชิงพาณิชย์
เนื่องจากข้าวสีทองมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยและเด็กที่ขาดสารอาหารเท่านั้น
จนถึงขณะนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเกษตรกรฟิลิปปินส์จะสามารถปลูกข้าวสีทองได้เมื่อใด
เนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องให้การรับรองก่อนว่า ข้าวสีทองจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาต่อนาข้าวของเกษตรกร
โดยสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ (IRRI) จะยื่นเอกสารหลักฐานภายในปี 2563 นี้
อย่างไรก็ตามมีข้อเท็จจริงที่ว่า
แม้ว่าฟิลิปปินส์จะเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ (IRRI) แต่ก็ไม่สามารถช่วยให้
ฟิลิปปินส์เพาะปลูกข้าวได้เพียงพอ
อีกทั้งภาคการเกษตรของฟิลิปปินส์ยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร ซึ่งสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ (IRRI) ได้เคยให้ข้อมูลว่าเด็กในฟิลิปปินส์ที่ขาดวิตามินเอมีจำนวน
20.4% ในปี 2556 ดังนั้นข้าวสีทองจะสามารถตอบสนองความต้องการนี้ได้
กระนั้นจากสถานการณ์ตลาดข้าวปัจจุบัน ในฟิลิปปินส์มีความเป็นไปได้ยากที่รัฐบาลจะสามารถชักชวนให้เกษตรกรชาวนาปรับเปลี่ยนมาปลูกข้าวสีทอง เนื่องจากขาดศักยภาพในการผลิตและขาดแรงจูงใจแก่ชาวนา อีกทั้ง ข้าวเปลือกในประเทศมีราคาลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในอนาคตอาจทำให้ชาวนาละทิ้งการปลูกข้าวไปปลูกอย่างอื่นแทน ส่งผลให้ฟิลิปปินส์ต้องพึ่งพาการนำเข้าข้าวจากต่างประเทศอย่างสมบูรณ์
เรื่องนี้ผู้ประกอบการไทยอาจเข้ามาเจาะตลาดใหม่ๆ ในฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะกลุ่มข้าวเพื่อสุขภาพ เช่น ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวหอมมะลิแดง เป็นต้น เพื่อเป็นตลาดทางเลือกในฟิลิปปินส์ เนื่องจากกลุ่มคนรุ่นใหม่และมีกำลังซื้อในฟิลิปปินส์สูงขึ้น และหันมาสนใจสุขภาพเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน รวมถึงตลาดระดับชนชั้นแรงงาน ซึ่งผู้บริโภคมองเรื่องราคาเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจซื้อ