โหมกระหน่ำส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่คนไทย
ต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำกระหน่ำซ้ำโรคโควิด 19 กลับมาระลอกใหม่ไม่ใช่ระลอก
2 แถมสำลักฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 เกินมาตรฐานทนทุกข์ทรมานมานานหลายปี
ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนยังโยงไปถึง “เศรษฐกิจ” และ
“ต้นทุนค่าเสียโอกาส” มหาศาล
จากข้อมูล Open-Source ขององค์การไม่แสวงหากำไร OpenAQ ฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 นี้ เป็นหนึ่งในมลพิษทางอากาศ (Air Pollution) ที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกปีละกว่า 7 ล้านคน และประชากรทั่วโลกอย่างน้อย 380 ล้านคน ต้องทนทุกข์อาศัยอยู่ร่วมกับคุณภาพอากาศที่เลวร้ายเกินกว่าที่องค์การอนามัยโลก (World Organization: WHO) กำหนดไม่เกิน PM 2.5
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 แพร่กระจายรุนแรง มีสาเหตุหลักๆ คือ
เขม่ายานพาหนะ, ควันและขี้เถ้าจากไฟป่าที่โหมรุนแรงเป็นวงกว้าง,
มลพิษชีวมวลจากเตาไฟทำอาหาร หรือมาจากการทำกับข้าวในครัวนั่นเอง
แต่หากมองภาพกว้างกว่านั้น ยังมีละอองเกลือซัลเฟตจากการผลิตไฟฟ้าอยู่รอบๆ ตัวทั้งในบ้าน
นอกบ้าน ล้วนเป็นบ่อเกิด PM 2.5 ทั้งสิ้น ซึ่งไม่มีที่ไหนปลอดภัย
100 % โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนที่อาศัยอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา
และนั่นรวมถึงชาวไทยอีกด้วย
อันตรายของฝุ่นจิ๋ว PM 2.5
กำลังสร้างความกังวลให้กับนักวิทยาศาสตร์และหน่วยงานสาธารณสุขมากขึ้นเรื่อยๆ
จากข้อมูลของ OpenAQ พบว่า
ความไวต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular) และอาการป่วยระบบทางเดินหายใจ
(Respiratory) เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ
ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงระยะยาวจาก "อากาศที่เลวร้าย"
ที่กำลังคุกคามโลก โดยฝุ่นพิษดังกล่าวไม่มีที่ไหนหนักหนาไปกว่าประเทศอินเดีย
ซึ่งผลกระทบจากมลพิษฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 คือ การทำลายการทำหน้าที่ของ
"สมอง" มนุษย์
มลพิษเรื้อรังทำ "ฟังก์ชันสมอง"
รวน
มลพิษที่เลวร้ายเรื้อรังนับเป็นหนึ่งในความเสี่ยงระยะยาวทำลายการทำหน้าที่ของ
"สมอง" โดยกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคงหนีไม่พ้น ผู้สูงอายุและเด็ก
หากสูดมลพิษเข้าร่างกายเป็นจำนวนมาก ในระยะยาวจะกลายเป็นปัญหาสุขภาพเรื้อรัง
อีกทั้งยังทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่ลดลงในกลุ่มผู้สูงอายุ มีอัตราการเกิดเร็วขึ้น
อาทิ สมองเสื่อม (Dementia), อัลไซเมอร์
(Alzheimer), พาร์กินสัน (Parkinson) และหลอดเลือดสมอง
(Stroke)
ส่วนกลุ่มเด็กมีความเสี่ยงว่าจะได้รับผลกระทบที่ร้ายแรงมากที่สุด
เพราะอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพและการดำเนินชีวิตอย่างถาวร
จีนเป็นอีกประเทศที่กำลังเผชิญกับสภาพอากาศที่เลวร้าย
ได้มีการศึกษาพบว่ามลพิษทางอากาศมีผลต่อการเกิดและมีความเชื่อมโยงกับทักษะทางปัญญา
(Cognitive Skill) ที่ลดลง ขณะที่ทางตอนใต้ของแคลิฟอร์เนียของประเทศสหรัฐอเมริกา
เด็กๆ ที่สูดมลพิษเข้าสู่ร่างกายปริมาณมาก
เห็นได้ชัดว่ามีปัญหาในด้านการคำนวณทางคณิตศาสตร์และการอ่าน โดยหนึ่งในการศึกษามีการประมาณการว่า
ความเข้มข้นของ PM 2.5 ที่เพิ่มขึ้น 5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
อาจส่งผลให้คะแนนไอคิว (IQ) ลดลง 2 คะแนน
ไม่เพียงเท่านั้น
ในรายงานของธนาคารโลก (World Bank) มีการทดสอบคะแนนของนักเรียนในแต่ละประเทศ
พบว่าปัญหามลพิษทางอากาศที่มี PM 2.5 มาเอี่ยวด้วยนี้
มีผลเสียต่อสมองของเด็กอย่างมาก โดยเฉพาะ "จีน" และ "อินเดีย"
ที่ต่างเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาอุตสาหกรรมไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน
และหลายเมืองถูกปกคลุมด้วย "หมอกพิษ" ซึ่งระดับ PM 2.5 ในปักกิ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร หรือกว่า 10
เท่าของนิวยอร์ก และเกินกว่าปกติถึง 2 เท่าของจำนวนรวม
ต้นทุนค่าเสียโอกาสจีนที่ต้องจ่ายมูลค่ามหาศาล
ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญกับมลพิษรุนแรงก็มีราคาที่ต้องจ่ายในเรื่อง
PM 2.5 ไม่ต่างจากจีนและอินเดีย ซึ่งในกรณีจีนนั้นมีการศึกษาผลกระทบ
PM 2.5 ต่อเศรษฐกิจทั้งในระดับชาติและจังหวัด โดยพบว่า PM
2.5 ที่เกิดจากการคมนาคมทางถนน นำไปสู่การสูญเสียชีวิตกว่า 160,000
คนต่อปี อัตราการเกิดโรคต่อประชากรเพิ่มขึ้น 0.37%
และค่าใช้จ่ายการดูแลสุขภาพรวมกว่า 1,400 ล้านหยวน หรือประมาณ 6,500 ล้านบาท
หากรัฐบาลจีนไม่ได้มีมาตรการควบคุมที่ดีขึ้น
คาดการณ์ว่าในปี 2573 มลพิษทางอากาศจากการคมนาคมทางถนนจะทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น
170,000 คน อัตราการเกิดโรคต่อประชากรเพิ่มขึ้น 0.40%
และค่าใช้จ่ายการดูแลสุขภาพรวมแล้วจะสูงถึง 4,100 ล้านหยวน
หรือประมาณ 18,000 ล้านบาท ไม่เพียงเท่านั้นจากการคำนวณทางสถิติของการเสียชีวิต
พบว่ามูลค่าการสูญเสียอยู่ที่ 730,000 ล้านหยวน หรือกว่า 3
ล้านล้านบาท และยังสูญเสียเวลาการทำงานต่อประชากรอีก 2 ชั่วโมง 23 นาทีด้วย
นอกจากนี้ มลพิษ PM 2.5 จากการคมนาคมทางถนน
อาจเป็นเหตุให้จีนสูญเสียผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปี
2573 สูงถึง 0.68%
ประเมิน 1 เดือนไทยกระทบทางเศรษฐกิจสูญเสีย
6 พันล้าน
เมื่อช่วงต้นปี 2563
บรรดานักวิเคราะห์ทางด้านเศรษฐศาสตร์ประเมินถึง "ต้นทุน"
ที่ไทยต้องจ่ายจากการปล่อยให้ PM 2.5 ปกคลุมทั่วทั้งน่านฟ้า โดย "ต้นทุน" ที่ว่านั้นก็คือ
"ต้นทุนค่าเสียโอกาส" (Opportunity Cost)
ประเมินภาพง่ายๆ ภายในช่วงเวลา 1 เดือน มีการประมาณการว่า
ผลกระทบทางเศรษฐกิจจะสูงถึง 3,200-6,000
ล้านบาท แยกออกเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย
1. ต้นทุนที่เกี่ยวกับสุขภาพ คือค่าใช้จ่ายทางการแพทย์
หน้ากากอนามัย และเครื่องฟอกอากาศ ก็มีมูลค่าสูงถึง 2,000-3,000 ล้านบาท
2.
ต้นทุนค่าเสียโอกาสเกี่ยวกับการท่องเที่ยว อยู่ที่ 1,000-2,400 ล้านบาท
3. ต้นทุนค่าเสียโอกาสอื่นๆ เช่น
สตรีตฟู้ด (Street Food), ร้านอาหารหรูแบบ
Outdoor รวมถึงตลาดนัด ก็มีมูลค่ากว่า 200-600 ล้านบาท
การประเมินภาพผลกระทบจากมลพิษดังกล่าวเพียงแค่
1 เดือน ในห้วงเวลาที่ยังไม่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 มาเกี่ยวข้อง แต่ปัจจุบันโรคโควิดยังระบาดเป็นอยู่แบบนี้
แถมยังมีปัญหา PM 2.5
เข้ามาเป็นโรคแทรกซ้อนอีก ยิ่งทำให้ "ต้นทุนค่าเสียโอกาส" ที่ไทยต้องจ่ายเพิ่มขึ้นอีก
จากที่ราคาประเมิน 6,000 ล้านบาทนั้นอาจไม่เพียงพอด้วยซ้ำไป
แหล่งข้อมูลอ้างอิง https://www.OpenAQ.com
https://www.WorldOrganization.com