ก่อนวิกฤติโควิด-19 อุตสาหกรรมค้าปลีกของฟิลิปปินส์
ถือเป็นอุตสาหกรรมดาวรุ่งหนึ่งของประเทศ เนื่องจากมีปัจจัยส่งเสริมหลายอย่างทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจ
รายได้ของของประชากรสูงขึ้น ทำให้มีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้นรวมถึงอุปสงค์ภายในประเทศที่แข็งแกร่ง
โดย IGD บริษัทวิจัยด้านการค้าปลีกอาหารเคยคาดการณ์ว่า ตลาดค้าปลีกฟิลิปปินส์จะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น
157 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2563 ใหญ่เป็นอันดับ
2 ของอาเซียนรองจากอินโดนีเซีย และจะขยายตัวประมาณร้อยละ 10
ต่อปี
อย่างไรก็ดี วิกฤตโควิด-19 กำลังทำให้ภาคค้าปลีกฟิลิปปินส์ที่มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วงที่ผ่านมาต้องสะดุดลง โดยหลังเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 รัฐบาลฟิลิปปินส์ได้บังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์และมาตรการกักกันชุมชนที่เข้มงวด ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคค้าปลีก โดยผู้ประกอบการหลายรายต้องหยุดกิจการชั่วคราว หรือบางรายต้องปิดกิจการถาวร ทำให้พนักงาน/แรงงานตกงานจำนวนหลายล้านคนทั่วประเทศ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ปัจจุบันรัฐบาลได้ทยอยปลดมาตรการล็อกดาวน์ทำให้ธุรกิจค้าปลีกต่างๆ
กลับมาดำเนินการได้ เกิดการหมุนเวียนการใช้จ่ายภาคครัวเรือนในฟิลิปปินส์
แต่ธุรกิจค้าปลีกต้องเผชิญกับความท้าทายในการฟื้นตัว เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่จำกัด
รวมถึงความไม่เชื่อมั่นในสถานการณ์การแพร่ระบาด ทำให้ผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้จ่าย
และใช้จ่ายเฉพาะสิ่งที่จำเป็นอย่างรัดกุม
ขณะที่รัฐบาลฟิลิปปินส์ที่เริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์
โดยการใช้มาตรการ General Community Quarantine (GCQ) ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 เพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจสามารถกลับมาดำเนินการได้ ซึ่งถึงแม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ
ในฟิลิปปินส์จะยังไม่สามารถควบคุมได้และยังพบตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นทุกวัน
แต่รัฐบาลจำเป็นต้องผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ เพื่อเปิดทางให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจสามารถกลับมาดำเนินการได้และลดความเสียหายทางเศรษฐกิจ
เนื่องจากรัฐบาลได้ระงับการทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจมาเป็นเวลากว่า 2 เดือน ส่งผลกระทบและความเปลี่ยนแปลงเป็นวงกว้างในมิติของเศรษฐกิจ
ทั้งนี้การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ของฟิลิปปินส์
ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่จะทำให้ภาคธุรกิจกลับมาดำเนินกิจการได้อีกครั้ง เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจเช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลก
ที่เริ่มเข้าสู่การคลายล็อกดาวน์เพื่อฟูเศรษฐกิจเช่นกัน
เป็นที่น่าจับตาว่า รัฐบาลฟิลิปปินส์ซึ่งกำลังชั่งน้ำหนักในการพิจารณาเรื่องการขึ้นภาษีนำเข้า
เพื่อสร้างรายได้ให้กับรัฐบาลในช่วงวิกฤติโควิด-19 ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มรายได้เข้าคลังมากถึง 2.45 แสนล้านเปโซ
ซึ่งผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื่อโควิด-19 ทำให้รัฐบาลฟิลิปปินส์จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก
ในการรับมือและเยียวยาผลกระทบต่อประชาชนและเสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศ
ทั้งนี้หากฟิลิปปินส์ตัดสินใจขึ้นภาษีนำเข้า
คาดว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบและเสียประโยชน์จะกลับกลายเป็นประชาชนชาวฟิลิปปินส์และธุรกิจในประเทศเอง
เนื่องจากผู้บริโภคต้องซื้อสินค้าในราคาที่แพงขึ้น โดยเฉพาะสินค้าขั้นสุดท้ายที่จำเป็นสำหรับการอุปโภคและบริโภค
และจะส่งผลต่อเนื่องทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นด้วย ในขณะที่ธุรกิจต้องแบกรับต้นทุนสินค้าที่เพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกันหากฟิลิปปินส์ปรับขึ้นภาษีนำเข้า
จะเป็นการเพิ่มแรงกดดันสำคัญและอาจเป็นปัจจัยลบเพิ่มเติม ที่จะกระทบต่อภาพรวมการส่งออกสินค้าไทยในอนาคต
โดยฟิลิปปินส์เป็นตลาดส่งออกหลักอันดับ 5 ในภูมิภาคอาเซียน ในปี 2562 มูลค่าการค้ารวมของไทยกับฟิลิปปินส์อยู่ที่
10,143 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.10 ของการค้าไทยไปทั่วโลก
โดยไทยส่งออกไปฟิลิปปินส์มีมูลค่า 6,919 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในขณะเดียวกันไทยมีการนำเข้าจากฟิลิปปินส์ มูลค่า 3,224 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งที่ผ่านมาไทยได้เปรียบดุลการค้าฟิลิปปินส์มาโดยตลอด สำหรับในปี 2563 (มกราคม – มีนาคม) ไทยส่งออกไปฟิลิปปินส์มูลค่า 1,565 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 9.49 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสินค้า 5 อันดับที่ไทยส่งออกไปยังฟิลิปปินส์มากที่สุด ได้แก่ กลุ่มสินค้ารถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ แผงวงจรไฟฟ้า เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องสำอาง สบู่และผลิตภัณฑ์รักษาผิว และผลิตภัณฑ์พลาสติก