“เดลิช ฟู้ดส์” ผู้สร้างสรรค์วัตถุดิบพรีเมียม เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของธุรกิจอาหาร
ในโลกของธุรกิจอาหารที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน ไม่ใช่ทุกบริษัทที่จะสามารถก้าวขึ้นมาเป็น “ผู้เล่นตัวจริง” ที่ได้รับการยอมรับจากเชฟและโรงแรมระดับแนวหน้าได้ แต่ “บริษัท เดลิช ฟู้ดส์ จำกัด” กลับพิสูจน์ให้เห็นว่า ความสำเร็จไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นจากทุนมหาศาล แต่เริ่มจากการมองเห็น Pain Point ของลูกค้า และการลงมือทำอย่างจริงจัง
จุดเริ่มต้นของเดลิช ฟู้ดส์ เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน จากความพยายามของ คุณบัว ฤดินันท์ พยนต์รัตน์ ในการหาผลไม้ที่กำลังเป็นเทรนด์โลกอย่างอะโวคาโดในประเทศไทย แต่กลับพบว่า นอกจากจะหายากมากแล้ว ยังมีปัญหาเรื่องคุณภาพ เช่น ไม่สุกบ้าง หรือสุกแล้วเน่าเสีย ซึ่งเป็นช่องว่างในตลาดที่ยังไม่มีใครแก้ไขได้
“ตอนนั้นบัวรู้สึกว่าของดี ๆ อย่างอะโวคาโดนั้นหารับประทานได้ยากในเมืองไทย เลยคุยกับพี่สาวว่า เราไปหามาขายกันดีไหม”
นั่นคือแรงบันดาลใจแรกเริ่มของคุณบัว ที่ได้กลายมาเป็นรากฐานของธุรกิจที่ปัจจุบันมีสินค้ากว่า 1,000 SKU และยังเป็นผู้จัดหา (Supplier) คนสำคัญของโรงแรม ร้านอาหาร และเชฟมืออาชีพทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ พร้อมขับเคลื่อนความยั่งยืนให้กับทุกคนในห่วงโซ่อาหาร ตั้งแต่เกษตรกรจนถึงผู้บริโภค
คัดสรรวัตถุดิบ เพื่อรสชาติและศิลปะการทำอาหาร
สิ่งที่ทำให้เดลิช ฟู้ดส์ แตกต่างตั้งแต่จุดเริ่มต้น คือ การเลือกที่จะ “คัดสรรวัตถุดิบ” ที่มีเอกลักษณ์ ทั้งด้านรสชาติ และความสวยงามบนจานอาหาร เพราะคุณบัวมองว่าวัตถุดิบคือ “ศิลปะ” ที่สามารถยกระดับเมนูธรรมดา ๆ ให้กลายเป็นผลงานสุดพิเศษได้
คุณบัวเล่าถึงอินไซต์จากการทำงานร่วมกับเชฟว่า “เชฟทุกคนล้วนอยากให้เมนูของตัวเองมีความพิเศษและแตกต่าง เราเลยพัฒนามะเขือเทศเชอร์รีหลากสีและผักสลัดที่มีรสชาติครบทุกมิติเพื่อตอบโจทย์”
ตัวอย่างวัตถุดิบที่ได้รับการพัฒนาและคัดสรร ได้แก่
เดลิชสลัดมิกซ์ (Delish Salad Mix) ที่ทางบริษัทพัฒนาสูตรเองจนได้รสชาติครบทั้งเปรี้ยว หวาน ขม และเผ็ดเล็กน้อย พร้อมสีสันที่หลากหลาย
มะเขือเทศเชอร์รีหลากสี (Fancy Tomato) จากเมล็ดพันธุ์นำเข้าที่ให้รสหวานอมเปรี้ยวและสีสดใส เหมาะสำหรับการแต่งจานที่ต้องการความโดดเด่น
เบบี้คะน้าฝรั่งใบหยิก (Curly Kale) ขนาดพอดีคำ ตอบโจทย์ผู้บริโภครักสุขภาพที่ต้องการความสะดวกในการรับประทาน
อีกหนึ่งความใส่ใจที่สะท้อน DNA ของเดลิช ฟู้ดส์ คือ การตัดแต่งและจัดเตรียมวัตถุดิบให้มีขนาดเหมาะสม พร้อมแบ่งขายตามจำนวนที่เชฟต้องการจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแยกบรรจุในปริมาณที่ใช้พอดีในหนึ่งเมนู หรือการจัดชุดผักสลัดที่พร้อมเสิร์ฟในครัว สิ่งนี้ช่วยลดภาระของเชฟ ลดการสูญเสีย และเพิ่มประสิทธิภาพในครัว
นอกจากการคัดสรรคุณภาพแล้ว เดลิช ฟู้ดส์ ยังให้ความสำคัญกับการบริหารจัดหาแหล่งวัตถุดิบที่หลากหลาย เพื่อให้ธุรกิจมีเสถียรภาพและสามารถตอบสนองความต้องการได้อย่างครบถ้วน โดยแหล่งที่มาของสินค้า ได้แก่
เกษตรกรในประเทศ บริษัทถ่ายทอดความรู้และเทคนิคการปลูกผักมูลค่าสูง พร้อมรับซื้อผลผลิตทั้งหมด เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงให้เกษตรกรไทย
สินค้านำเข้า สำหรับวัตถุดิบที่ไม่สามารถปลูกได้ในไทย เช่น อะโวคาโดนิวซีแลนด์ หรือผลไม้ตระกูลเบอร์รี ซึ่งให้คุณภาพและรสชาติที่ตรงตามความต้องการของเชฟ
เดลิชฟาร์ม ใช้สำหรับทดลองและปลูกผักสายพันธุ์พิเศษที่หาไม่ได้ในตลาดทั่วไป เช่น Rosemary หรือผักสลัดสายพันธุ์ใหม่ ๆ เพื่อสร้างความแตกต่าง
ตลาดค้าส่ง สำหรับผักไทยพื้นบ้าน เช่น ผักชี ต้นหอม มันฝรั่ง หรือหอมใหญ่ ซึ่งผ่านการคัดเลือกและตัดแต่งก่อนส่งถึงมือเชฟ
ด้วยการวางระบบจัดหาวัตถุดิบที่ครอบคลุม ทั้งจากเกษตรกร สินค้านำเข้า และแปลงทดลองของตนเอง เดลิช ฟู้ดส์ จึงไม่ได้เป็นเพียงผู้จัดหาผักผลไม้เพื่อขายส่ง แต่ก้าวขึ้นมาเป็นพาร์ตเนอร์ของเชฟที่เข้าใจทั้งเรื่องรสชาติ ความสวยงาม และความสะดวกในการใช้งาน นี่คือเหตุผลที่ทำให้วัตถุดิบของบริษัทได้รับการยอมรับจากโรงแรมและร้านอาหารระดับบนอย่าง Fine Dining, Casual Dining และ International มาตั้งแต่วันแรกของการทำธุรกิจ
มุ่งเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยโมเดลธุรกิจที่เน้นความยั่งยืน
นอกจากจะมองหาวัตถุดิบใหม่ ๆ อยู่เสมอแล้ว เดลิช ฟู้ดส์ ยังยึดหลักการการสร้างธุรกิจที่เติบโตไปพร้อมกับเกษตรกรไทย บริษัทจึงวางโครงสร้างซัปพลายเชนแบบ “Win-Win” ที่ทำให้ทั้งเชฟ เกษตรกร และบริษัทได้รับประโยชน์ร่วมกัน
จุดเริ่มต้นมาจากการที่เห็นเกษตรกรใกล้ตัว มีรายได้ไม่แน่นอนและบางรายก็มีรายได้ไม่พอเลี้ยงครอบครัว นั่นทำให้เธอเกิดคำถามว่า “ถ้าเปลี่ยนจากการปลูกพืชทั่วไปที่ราคาผลผลิตค่อนข้างต่ำและไม่แน่นอน แล้วมาปลูกพืชสายพันธุ์พิเศษที่มีคนปลูกน้อยและมูลค่าสูงกว่า โดยทางเดลิชฟู้ดส์ ร่วมมือกับเกษตรกรในการทำการตลาดและจัดการระบบกระจายสินค้าให้ จะช่วยให้คุณภาพชีวิตของเกษตรกรเหล่านี้ดีขึ้นได้หรือไม่”
เดลิช ฟู้ดส์ จึงเดินหน้าถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่องการปลูกผักพิเศษ เช่น Rosemary, Basil หรือ Wild Rocket ให้กับเกษตรกรในภาคเหนือ พร้อมทั้งสนับสนุนเมล็ดพันธุ์และเทคนิคการดูแลที่ถูกต้อง ที่สำคัญคือ ทางบริษัทยินดีรับซื้อผลผลิตทั้งหมดโดยไม่ปล่อยให้เกษตรกรเผชิญความเสี่ยงด้านการตลาดเอง
“เราไม่ได้เติบโตแค่บริษัทเรา แต่ยังช่วยให้เกษตรกรจำนวนมากมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพราะเขาปลูกสินค้าที่แตกต่าง แล้วเราช่วยทำการตลาดให้” คุณบัวกล่าวด้วยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ
ปัจจุบัน เดลิช ฟู้ดส์ ได้สร้างเครือข่ายเกษตรกรกว่า 80 รายทั่วประเทศ ครอบคลุมทั้งภาคเหนือและภาคกลาง มีทั้งเกษตรกรที่ปลูกผักใบ ผักหัว และพืชสมุนไพร เพื่อรองรับความต้องการของตลาดระดับบน วิธีการสนับสนุนของบริษัท ได้แก่ การถ่ายทอดเทคนิคการปลูกผักมูลค่าสูงและสายพันธุ์เฉพาะ การจัดหาเมล็ดพันธุ์และให้คำปรึกษาตลอดการเพาะปลูก ตลอดจนการติดตามและประเมินแปลงอย่างสม่ำเสมอตามมาตรฐาน GHP/HACCP และ GAP นอกจากนี้ ยังส่งเสริมให้เกษตรกรบันทึกข้อมูลการผลิตอย่างเป็นระบบ เช่น ปริมาณน้ำ ปุ๋ย และการใช้ชีวภัณฑ์ที่ผลิตจากจุลินทรีย์ธรรมชาติ ซึ่งปลอดภัยต่อผู้เพาะปลูกและผู้บริโภค เพื่อควบคุมคุณภาพระยะยาว และมุ่งเน้นการเป็นเกษตรที่ปลอดภัยและยั่งยืน
นอกจากนี้ เดลิช ฟู้ดส์ ยังมีความโดดเด่นด้าน Supply Chain โดยเลือกโฟกัสไปที่การปลูกผักสายพันธุ์พิเศษ จึงแทบไม่ถูกแทรกแซงด้วยปัจจัยด้านราคา และสามารถรักษาระดับราคาที่ค่อนข้างนิ่ง ควบคุมได้ง่ายกว่าพืชผักทั่วไป
ใช้นวัตกรรมเพื่อการบริหารจัดการข้อมูล
ในธุรกิจผักและผลไม้ที่มีอายุสั้นและความต้องการคุณภาพสูง การบริหารจัดการ Supply Chain ถือเป็นความท้าทายที่สุด เดลิช ฟู้ดส์ จึงเลือกลงทุนด้านนวัตกรรมและระบบการจัดการ เพื่อสร้างมาตรฐานที่เชฟและโรงแรมสามารถเชื่อมั่นได้ โดยหัวใจสำคัญคือ “การใช้ข้อมูล” (Data-Driven Management)
บริษัทลงทุนในระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) และ WMS (Warehouse Management System) พร้อมทำ Demand Forecasting เพื่อจัดการคลังสินค้า การขนส่ง และการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ให้ละเอียดถึงระดับเมล็ดพันธุ์ในฟาร์ม จุดนี้ไม่เพียงช่วยยืนยันคุณภาพต่อเชฟและโรงแรม แต่ยังสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่นตลอดห่วงโซ่อุปทาน ภายใต้แนวคิดของคุณบัวที่ว่า
“เราเป็นธุรกิจขายของกิน ดังนั้น สิ่งสำคัญคือต้องปลอดภัย และตรวจสอบย้อนกลับได้เสมอ เราไม่ต้องรอให้ลูกค้าขอ แต่เราคิดล่วงหน้าเพื่อสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า”
นอกจากระบบการจัดการหลักอย่าง ERP และ WMS แล้ว บริษัทยังได้ต่อยอดด้วยกลยุทธ์สำคัญ ได้แก่
การวิเคราะห์ข้อมูลของเสีย (Waste Analytics)
สินค้าทุกล็อตได้รับการบันทึกและวิเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อตรวจสอบว่าจุดใดเป็นปัญหาและควรได้รับการแก้ไข วิธีนี้ช่วยให้บริษัทสามารถควบคุมต้นทุน ลดภาระให้ลูกค้า และรักษาระดับราคาที่ “ยุติธรรม” ต่อผู้บริโภคได้
การจัดการของเสียให้เป็นศูนย์ (Zero Waste Project)
ผลผลิตที่ล้นหรือไม่ตรงตามความต้องการของเชฟ ไม่ได้ถูกทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่จะถูกนำไปแปรรูป ลดราคา หรือบริจาค เพื่อลดการสูญเสียในห่วงโซ่อุปทาน และสร้างคุณค่าใหม่จากสิ่งที่เคยเป็น “ต้นทุนจม”
การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว (Post-Harvest Management)
หนึ่งใน Pain Point สำคัญของตลาดผลไม้คือ ความไม่แน่นอนของคุณภาพหลังการเก็บเกี่ยว โดยเฉพาะอะโวคาโดที่มักประสบปัญหา “ยังไม่สุกเมื่อถึงมือเชฟ” หรือ “สุกเกินไปจนเนื้อดำเสีย” ทำให้ร้านอาหารไม่สามารถวางแผนเมนูได้แน่นอน และอาจสูญเสียต้นทุนจำนวนมากไปกับผลผลิตที่ใช้ไม่ได้
เพื่อแก้ปัญหานี้ เดลิช ฟู้ดส์ จึงลงทุนพัฒนาห้องบ่มที่สามารถควบคุมอุณหภูมิและความชื้นได้อย่างแม่นยำ ทำให้ควบคุมและประมาณการเวลาที่อโวคาโดจะสุกได้ สีและรสชาติของผลไม้จะสวยและรักษาเนื้อสัมผัสให้คงที่ ลดความเสี่ยงจากการสุกเกินและเกิดเนื้อดำ อีกทั้งยังปลอดภัยต่อผู้บริโภคมากกว่า
วิสัยทัศน์และอนาคตของเดลิช ฟู้ดส์
เดลิช ฟู้ดส์ เชื่อว่า “ธุรกิจที่ยั่งยืน” ต้องไม่ใช่เพียงการเติบโตขององค์กร แต่ต้องทำให้ทุกคนในห่วงโซ่อาหารได้รับประโยชน์ร่วมกัน บริษัทจึงกำหนดวิสัยทัศน์ “Food for Better Life” หรือ “อาหารเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า” เป็นเข็มทิศในการดำเนินงาน โดยวิสัยทัศน์ดังกล่าวได้รับการถ่ายทอดออกมาในหลายมิติ ดังนี้
สำหรับเชฟและร้านอาหาร เดลิช ฟู้ดส์ ยังคงเดินหน้าสร้างสรรค์วัตถุดิบที่ไม่เหมือนใคร ทั้งผักสายพันธุ์พิเศษและผลไม้ที่ผ่านกระบวนการบ่มคุณภาพ เพื่อให้เชฟสามารถสร้างเมนูที่แตกต่างและมีมาตรฐานสูง
สำหรับเกษตรกร บริษัทยังคงสนับสนุนการปลูกพืชมูลค่าสูง การใช้ชีวภัณฑ์ และการบันทึกข้อมูลการผลิต เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงและปลอดภัยต่อสุขภาพของทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค
สำหรับผู้บริโภคทั่วไป ส่งเสริมการบริโภคผักผลไม้สดที่ผ่านกระบวนการน้อยที่สุด (Whole Food) เพื่อตอบโจทย์เทรนด์การดูแลสุขภาพที่กำลังเติบโต
“วิสัยทัศน์ของเราคือ เราอยากให้เชฟ เกษตรกร และพนักงานทุกคน
มีชีวิตที่ดีขึ้นไปพร้อมกับบริษัท”
ในอนาคต เดลิช ฟู้ดส์ ยังมีแผนต่อยอดด้วยการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ไปสู่สินค้าพร้อมทาน (Ready-to-Eat) และการแปรรูปผักผลไม้ เพื่อลดการสูญเสียและเพิ่มมูลค่าให้มากขึ้นไปอีกขั้น
ทั้งหมดนี้สะท้อนแนวคิดการเติบโตในแบบ SME ที่ไม่ได้เติบโตเพียงลำพัง แต่สร้างคุณค่าให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) ทุกฝ่าย ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เดลิช ฟู้ดส์ กลายเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่โรงแรม ร้านอาหารชั้นนำ และเชฟมืออาชีพไว้วางใจ อีกทั้งยังคงเป็นผู้เล่นสำคัญที่กำลังผลักดันตลาดผักผลไม้พรีเมียมไทยไปข้างหน้าอย่างมั่นคง