หลายคนคงจะพอได้ยินชื่อ JD.com อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของจีน
ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดในจีน เมื่อเร็วๆนี้ได้แตกไลน์ธุรกิจ
โดยร่วมมือกับ Mitsubishi Chemical ของญี่ปุ่น เพื่อสร้างโรงปลูกผักแบบ “ไฮโดรโปนิกส์” บนเนื้อที่
11,040 ตารางเมตร มีขนาดใหญ่ที่สุดในจีน
จุดประสงค์ก็เพื่อจำหน่ายสินค้าเกษตรบนแพลตฟอร์มของ JD.com
นับเป็นเกษตรสมัยใหม่ที่ตอบรับกับความต้องการของผู้บริโภคชาวจีนที่หันมาสนใจในเรื่อง “สุขภาพ” มากขึ้น และเลือกบริโภคสินค้าที่มีคุณภาพสูงขึ้น ที่น่าสนใจคือ JD.com เป็นธุรกิจอีคอมเมิร์ซรายแรกที่เปิดโรงเพาะ และปลูกผักเพื่อจำหน่ายบนแพลตฟอร์มของตัวเอง
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
โรงเพาะปลูกนี้ปลูกด้วยวิธีไฮโดรโปนิกส์ในระบบปิด
ซึ่งไม่ใช้ดิน แต่ได้นำเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อเข้ามาดูแลจัดการ เช่น
การควบคุมปริมาณน้ำ และการให้ปุ๋ย เป็นต้น ซึ่งการที่ JD.com ได้เข้ามาควบคุมตั้งแต่กระบวนการต้นน้ำ
ทำให้สามารถดูแลคุณภาพสินค้าได้ว่ามีความปลอดภัย 100% มีโภชนาการ
และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ผักที่ผ่านการปลูกจากโรงเพาะปลูกแห่งนี้
พบว่ามีสารอาหารที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย อยู่ที่ประมาณ 80% สะอาดมากกว่า
และได้จำนวนผลิตผลที่มากกว่าวิธีการปลูกแบบอื่นที่ผ่านมาสภาพอากาศในจีนส่วนใหญ่จะสามารถปลูกแบบในดิน
ได้เพียง 3-4 ครั้งต่อปีเท่านั้น แต่สำหรับการปลูกแบบไฮโดรโปนิกส์ จะสามารถปลูกผักได้มากกว่า
ถึง 19 ครั้งต่อปี
เหนือสิ่งใดเทคโนโลยีต่างๆ
ทั้งที่ผ่านกระบวนการให้น้ำและปุ๋ย และอื่นๆ กระบวนการควบคุมเหล่านี้มีส่วนช่วยให้สีของผัก
รวมถึงขนาดของผักในแต่ละหัวเท่ากัน เช่น “กะหล่ำปลี” สามารถใช้เทคโนโลยีในการควบคุมเพื่อทำให้กะหล่ำปลี
มีสีที่เหมือนกันทั้งหมด รวมถึงจำนวนและขนาดของใบในแต่ละหัวก็เท่ากันอีกด้วย
ที่สำคัญเทคโนโลยี Big Data ทาง JD.com ยังนำมาใช้กับการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าได้อีกด้วย
เช่น ผักไหนที่ลูกค้าชอบซื้อมากที่สุด เพื่อนำไปขยายผลและเพิ่มการปลูก
ลักษณะหรือขนาดผักแบบไหนที่ผู้บริโภคมักจะนิยมใช้มากที่สุด เป็นต้น
โดยผักที่ปลูกในโรงเพาะเหล่านี้จะนำไปจำหน่ายผ่านช่องทางทั้งออนไลน์และออฟไลน์ของ 7FRESH
ซูเปอร์มาร์เก็ตของ JD.com นั่นเอง
อย่างไรก็ตามในปัจจุบันถือเป็นช่วงเริ่มต้นโรงเพาะปลูกแห่งนี้
สามารถปลูกผักเพียง 10 ชนิดเท่านั้น แต่ในอนาคตมีแผนจะปลูกผักที่หลากหลายมากขึ้น
แต่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเป็นชนิดใดบ้าง ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ของ JD.com ระบุว่า
ในส่วนของเทคโนโลยีของญี่ปุ่น ส่วนใหญ่จะรับผิดชอบในด้าน “เทคโนโลยีโซลูชั่น”
รวมถึงอุปกรณ์ทั้งหมดที่ใช้ในโรงเพาะแห่งนี้ก็ถูกส่งมาจาก Mitsubishi เช่นเดียวกัน
นับว่าเป็นนวัตกรรมการเกษตรที่ล้ำสมัยมากๆทีเดียว
คราวนี้ลองมาดูนวัตกรรมอาหารสุขภาพจากฝั่งตะวันตกดูบ้างนับว่าน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว
ซึ่งเป็นเรื่องราวของฝรั่งที่หลงใหลกับรสชาติของข้าวโดยเฉพาะกินคู่พวกแกงต่างๆจะเป็นที่ชื่นชอบอย่างมากหนุ่มฝรั่งคนนี้นามว่า
“คีท เบลลิ่ง” ด้วยความที่ชอบกินข้าว ต่อมาจึงมีปัญหาเรื่องรูปร่างที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ
ก็เลยคิดจะหาสิ่งที่มาทดแทนที่มีรสชาติเหมือนข้าว แต่มีคาร์โบไฮเดรตน้อยกว่า
ดังนั้น “คีท” จึงได้พัฒนาสูตรขึ้นเองโดย ใช้ถั่วหลายชนิด
ทั้งถั่วเขียว ถั่วลันเตา และถั่วเลนทิลกว่า 90%เป็นส่วนผสมของข้าวเขาเรียกข้าวสูตรที่เขาคิดขึ้นมาได้นี้ว่า “Right Rice” ที่ให้โปรตีนมากกว่าข้าวขาวธรรมดาถึง
2 เท่า และมีกากใยไฟเบอร์เพิ่ม 5 เท่า แต่คงรสชาติและหน้าตาเหมือนข้าวจริงๆโดยข้าวสูตรพิเศษ
Right Rice ได้วางจำหน่ายผ่าน อเมซอนและ โฮลฟูดส์ มาร์เก็ต ซึ่งนับเป็นกลุ่ม Function Food หรืออาหารทางเลือก
ที่นิยมมากในปัจจุบัน
อย่างที่รู้ๆกันว่าในปัจจุบันมีผู้บริโภคข้าวทั่วโลกกว่าปีละ
700 ล้านตัน แต่มีคนจำนวนมากเริ่มจะตื่นตัวเรื่องคุณค่าโภชนาการของอาหารที่กินโดยเฉพาะข้าวที่อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต
กินมากก็อ้วน ส่งผลเสียต่อร่างกายขณะเดียวกัน กลับพบว่า มีผู้ผลิต
“ข้าวทางเลือก” ที่ทำจากพืชผักมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากกะหล่ำดอก ถั่วสารพัดชนิด
สำหรับคนรักสุขภาพ
แต่ “คีท” เชื่อว่า Right Rice ของเขาโดดเด่นกว่า
ตรงที่ยังผสมข้าวด้วย ไม่ได้มีแต่ผัก ทำให้น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนที่ติดรสสัมผัสข้าวแบบดั้งเดิม
แต่ไม่อยากกินแป้งมาก
ทุกวันนี้กลุ่มกระแสรักสุขภาพมาแรงขึ้นเรื่อยๆตลาดกลุ่มนี้เติบโตขึ้นตามลำดับทำให้ยอดขายอาหารที่ทำจากพืช
ในปี 2018 สูงถึง 17% คิดเป็นมูลค่ากว่า 3.7 พันล้านเหรียญเลยทีเดียวจึงไม่น่าแปลกใจที่สตาร์ทอัพกลุ่ม
“ฟูดส์ เทค” และเทรนด์อาหารทางเลือก
หรือ FunctionFood ยังคงเป็นที่นิยมในกลุ่มนักลงทุนที่มองหาแหล่งอาหารใหม่ ๆ
มารองรับความต้องการที่เปลี่ยนไปของตลาด
ในบ้านเราก็มีกลุ่มที่พยายามคิดขึ้นนวัตกรรมอาหาร
อย่างเช่น ข้าวผสมผักเพื่อให้เด็กๆที่ไม่ชอบกินผักได้สารอาหารโดยไม่รู้สึกกลัวหรือรับประทานยาก
แต่นวัตกรรมอาจจะยังไม่สูงส่งเท่ากับในจีนหรือของฝรั่ง ก็คงต้องส่งเสริมให้มีการพัฒนาต่อไป