เป็นที่ทราบดีว่ามาเลเซียเป็นประเทศผู้ผลิตถุงมือยางอันดับหนึ่งของโลก
ในกลุ่มถุงมือทางการแพทย์แบบใช้ครั้งเดียว ซึ่งมีตลาดในสหรัฐอเมริกา
ขณะที่ไทยเป็นผู้ซัพพลายน้ำยางข้น ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตถุงมือ
ขณะเดียวกันก็เป็นประเทศผู้ผลิตถุงมือยางในภาคอุตสาหกรรมและถุงมือที่ใช้ทางการแพทย์เช่นกัน
กล่าวได้ว่าอุตสาหกรรมถุงมือยางในมาเลเซียจึงเป็นทั้งคู่ค้า
และคู่แข่งในเวลาเดียวกัน
ด้านอนาคตถุงมือยาง สำนักวิจัยบริษัท Affin Hwang Capital ได้คาดการณ์ภาคการผลิตถุงมือยางจะมีแนวโน้มดีขึ้นในปี 2563 เนื่องจากความต้องการจากตลาดสหรัฐอเมริกาที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ประเด็นปัญหาด้านแรงงานและต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นช่วงไตรมาสที่สามของปี 2562 เริ่มคลี่คลาย
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
Affin Hwang Capital ระบุว่าผลประกอบการของกลุ่มอุตสาหกรรมยาง
ในช่วงไตรมาสที่สามของปี 2562 ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้
โดยบริษัทฯ ประเมินผลกระทบจากปัญหาข้างต้นไว้ต่ำเกินไป ทั้งนี้ปัญหาแรงงานบังคับในภาคการผลิตถุงมือยาง ซึ่งเชื่อว่าก่อให้เกิดการขาดแคลนแรงงานร้อยละ
15 - 25 ส่งผลให้ข้อจำกัดในการทำงานล่วงเวลาของแรงงาน
ประกอบกับการตัดสินใจของรัฐบาล ในการหยุดการรับแรงงานจากบังคลาเทศ(ในมาเลเซีย) ก็ยิ่งทำให้ปัญหาเลวร้ายลง
บริษัทบางแห่งจึงเริ่มสรรหาแรงงานจากประเทศอื่นๆ
หรือขออนุญาตเปิดรับสมัครงานโดยตรงเพื่อแก้ไขปัญหา
นอกจากนี้
ภาคการผลิตถุงมือยางยังได้รับผลกระทบจากราคาก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.3 ในเดือนกรกฎาคม 2562 ซึ่งเชื่อว่าทำให้ผลกำไรขั้นต้นในช่วงไตรมาสสามของกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตถุงมือยางลดลงร้อยละ
0.5 - 0.8 แต่คาดว่าผลกำไรจะกลับมาดีขึ้นในช่วงไตรมาสที่สี่
หลังจากที่ผู้ผลิตสามารถผลักภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังผู้บริโภคได้ บริษัทฯ
ได้ปรับลดการคาดการณ์ผลประกอบการของกลุ่มอุตสาหกรรมถุงมือยางระหว่างปี 2562-2565 เหลือร้อยละ 5 - 6
อย่างไรก็ดี Affin Hwang Capital ยังเชื่อว่าภาคการผลิตถุงมือยางจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในปี
2563 เมื่อปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาสที่สามได้รับการแก้ไข
ประกอบกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากสหรัฐอเมริกา
ผลกระทบต่อประเทศไทย
มาเลเซียมีการนำเข้าวัตถุดิบน้ำยางข้นจากไทยปีละประมาณ
500,000 – 600,000 ตัน เพื่อนำไปผลิตเป็นถุงมือยางส่งออกไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ
โดยมาเลเซียถือเป็นผู้นำเข้าน้ำยางข้นที่สำคัญลำดับแรกของไทย คิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ
40 ของการส่งออกทั้งหมด
การเติบโตหรือปัญหาอุปสรรคในภาคการผลิตถุงมือยางของมาเลเซีย จึงย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างปฏิเสธไม่ได้
มาเลเซียเป็นประเทศผู้ผลิตถุงมือยางรายสำคัญของโลกประกอบด้วยถุงมือทางการแพทย์
ถุงมือที่ใช้ในครัวเรือนและอุตสาหกรรม โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับหนึ่ง
สัดส่วนมากกว่าร้อยละ 36 ของตลาดส่งออกทั้งหมด
ข้อกล่าวหาของสหรัฐต่อมาเลเซีย เรื่องการใช้แรงงานบังคับในภาคการผลิตถุงมือยาง จึงส่งผลกระทบทางลบต่อภาคอุตสาหกรรมการผลิตของมาเลเซีย
อย่างไรก็ดี
สมาคมผู้ผลิตถุงมือยางของมาเลเซีย (Malaysian
Rubber Glove Manufacturers Association: Margma) ได้ออกมายืนยันว่า
สหรัฐอเมริกาไม่ได้ห้ามนำเข้าถุงมือยางจากมาเลเซีย
แต่มีเพียงบริษัทเดียวที่ได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าว และในปี 2562 มาเลเซียจะยังคงส่งออกถุงมือยางได้เพิ่มขึ้น จากความต้องการในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยคาดว่าการส่งออกถุงมือยางโดยรวมจะมีมูลค่า 18,200 ล้านริงกิต
โอกาสและแนวทางปรับตัวของผู้ประกอบการ
ปัจจุบันประเทศผู้นำเข้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแถบตะวันตก
ทั้งสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป มีแนวโน้มที่จะนำประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน แรงงาน
และสิ่งแวดล้อม มากำหนดนโยบายการค้าระหว่างประเทศเพิ่มมากขึ้น
เห็นได้จากกรณีสหภาพยุโรปมีมติห้ามใช้น้ำมันปาล์มในภาคการผลิตไบโอดีเซลในปี ค.ศ. 2020 เนื่องจากประเด็นการตัดไม้ทำลายป่า
รวมไปถึงกรณีนี้ซึ่งสหรัฐได้กล่าวหาว่ามาเลเซียมีการใช้แรงงานต่างด้าวที่ปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
ในอุตสาหกรรมการผลิตถุงมือยางด้วยเช่นกัน
แม้ว่าในปัจจุบันประเทศผู้นำเข้าจะยังไม่มีข้อกำหนดที่ย้อนลงลึกไปจนถึงภาคการผลิตต้นน้ำในอุตสาหกรรมยาง
อย่างไรก็ดี เกษตรกรและผู้ผลิตยางพาราไทย จำเป็นต้องติดตามความเคลื่อนไหวของประเทศผู้นำเข้าอย่างใกล้ชิด
อีกทั้งควรมีการพัฒนาระบบการผลิตที่มุ่งให้เกิดความยั่งยืน เพื่อรองรับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
เนื่องจากในปี 2560 สหภาพยุโรปได้ประกาศให้ยางพาราอยู่ในบัญชี critical raw material ทำให้ยางพารากลายเป็นวัตถุดิบที่สหภาพยุโรปจะให้ความสำคัญกับความต่อเนื่องของอุปทานในราคาที่เข้าถึงได้ ความยั่งยืนในการผลิต รวมทั้งคัดค้านต่อ มาตรการหรือกลไกที่จะบิดเบือนการค้า ซึ่งย่อมจะส่งผลกระทบต่อประเทศผู้ผลิตยางพารารายใหญ่อย่างประเทศไทยในอนาคต
ตลาดส่งออกน้ำยางข้นของไทยในปัจจุบันยังคงกระจุกตัวอยู่เพียง
2 ประเทศหลัก ได้แก่ มาเลเซีย และจีน ซึ่งรวมแล้วคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าร้อยละ
80 ของการส่งออกทั้งหมด ดังนั้นผู้ส่งออกน้ำยางข้น จึงควรแสวงหาตลาดส่งออกอื่นๆ
เพิ่มเติม โดยเฉพาะตลาดที่มีแนวโน้มขยายตัว อาทิ เวียดนาม เยอรมนี และ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เพื่อกระจายความเสี่ยงจากความผันผวนในตลาดหลัก
นอกจากนี้
เห็นควรที่ภาครัฐและเอกชนจะร่วมกันหาแนวทางที่เพิ่มใช้น้ำยางข้นภายในประเทศ โดยส่งเสริมหรือทำให้เกิดอุตสาหกรรมแปรรูป
เพื่อลดการพึ่งพาการส่งออก ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 85 ของปริมาณการผลิตทั้งหมดโดยส่งออก เป็นผลิตภัณฑ์ขั้นต้นที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำ
อ้างอิง : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ