“สามเสน” แถวสะพานซังฮี้เดิมเป็นย่านชุมชนประมงเล็ก
ๆ เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ยุคกรุงศรีอยุธยา ถือเป็นแหล่งที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า
300 ปี บริเวณนี้มีหลากหลายชนชาติ ที่มีวัฒนธรรมแตกต่างกันอพยพเข้ามาอาศัย
ไม่ว่าจะเป็น โปรตุเกส จีน ญวน เขมร เป็นต้น
แต่คนเหล่านี้ก็สามารถอยู่ด้วยกันอย่างสงบบนผืนแผ่นดินไทย
เมื่อมีชุมชนเกิดขึ้นย่อมมีศาสนสถานซึ่งเป็นที่ตั้งของสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่พึ่งทางจิตใจ
ชุมชนเก่าแก่ย่านสามเสน ประกอบด้วย 5 ศาสนสถานที่เก่าแก่อายุนับร้อยปีที่ยังคงสถาปัตยกรรมอันงดงามทรงคุณค่ารายรอบไปด้วยวิถีชีวิตชุมชนเก่าแก่ที่ยังคงรักษาขนมธรรมเนียมของบรรพบุรุษไว้
วันนี้จะชวนไปเดินซอกแซกตามซอยเล็ก ๆ ย่านสามเสน เพื่อไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลากหลายศาสนาที่ยังคงดำรงอยู่มานานกว่า 300 ปี
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ศาลเจ้าจุ่ยบ่อเนี้ย
คนจีนโพ้นทะเลที่เดินทางโดยเรือสำเภามาค้าขายและตั้งถิ่นฐานในเมืองไทยตั้งแต่สมัยอยุธยาล้วนแต่นับถือ “เจ้าแม่ทับทิม” ซึ่งนับถือเป็นเทพธิดาแห่งท้องทะเล ที่จะช่วยให้ชาวจีนทีเดินทางโดยเรือปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวงในท้องทะเล
ศาลเจ้าแม่ทับทิมจึงมีอยู่ทุกหนแห่งที่มีคนจีนอพยพมาอาศัย
แต่ ศาลเจ้าจุ่ยบ่อเนี้ย ที่บริเวณสะพานซั้งฮี้นับว่าศาสนสถานที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยและงดงามมาก
สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อปีพ.ศ.2385 และที่พิเศษกว่าที่อื่น ๆ
คือเป็นศาลเจ้าแม่ทับทิมแห่งเดียวที่สร้างโดยชุมชนไหหลำขนาดใหญ่ในยุคสมัยต้นรัตนโกสินทร์
เดิมเป็นศาลเจ้าขนาดเล็กที่ไม่มีหลังคาตามสถาปัตยกรรมฮกเกี้ยน
เพื่อให้ควันธูปได้ระบายออก ต่อมาจึงมีการสร้างต่อเติมเป็นลักษณะ “เรือนล้อมลาน” มี 4 อาคารล้อมโดยมีพื้นที่โล่งอยู่ตรงกลาง
ที่ศาลเจ้าแห่งนี้มีของสำคัญอย่างหนึ่งคือ กระถางธูปซึ่งเป็นเครื่องสังเค็ดในพระราชพิธีพระบรมศพของรัชกาลที่ 4 ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 5 พระราชทาน ”กระถางธูป” หลักและรอง รวม 5 กระถางให้แก่ศาลเจ้าแห่งนี้ ส่วนองค์เจ้าแม่ทับทิมสร้างด้วยไม้ สวมเครื่องทรงสีแดงเหมือนทับทิมจึงเรียกขานว่าเจ้าแม่ทับทิม นอกจากชาวไหหลำในย่านที่นับถือแล้ว ยังมีชาวจีนนอกชุมชนมาสักการะเพื่อขอพรให้แคล้วคลาดปลอดภัย การเงิน การงาน โชคลาภ บุตรหลานสอบได้ตำแหน่งดี ๆ
วัดแซงต์ฟรังซัวซาเวียร์
ลึกเข้าไปในซอยมิตตาคามบนถนนสามเสน
จะพบชุมชน “บ้านญวน” ที่เป็นคริสตังชาวญวนที่อพยพมาเมืองไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่
3 ซึ่งพระราชทานพระราชทรัพย์ให้สร้างศาสนสถานเพื่อให้ชาวคริสต์ได้ประกอบศาสนกิจ
เดิมเป็นอาคารไม้ไผ่เล็ก ๆ ใช้ชื่อว่า “วัดแซงต์ฟรังซัวซาเวียร์” 3 ปีต่อมาโบสถ์แห่งนี้ก็ทรุดโทรม
จึงมีการก่อสร้างขึ้นใหม่แล้วเปลี่ยนชื่อมาเป็น “วัดนักบุญฟรังซิสเซเวีย”
ปัจจุบันโบสถ์แห่งนี้ถือเป็นโบสถ์หลังที่
3 ใช้เวลาก่อสร้างนานถึงถึง
10 ปี ตัวอาคารก่ออิฐแบกปูน
เป็นอาคารที่ไม่มีเสาเข็มแต่ใช้ไม้ซุงมาเรียงอยู่ด้านล่างเพื่อไม่ให้วัดทรุด
ถือเป็นโบสถ์ที่มีความงามด้วยสถาปัตยกรรมนีโอโกธิค ภายในเป็นโถงขนาดใหญ่
จุดคนได้ถึง 600 คน หน้าต่างตกแต่งด้วยกระจกสีต่าง ๆ
สวยงามมาก และรอบ ๆ ยังรูปปั้นของนักบุญต่าง ๆ ของศาสนาคริสต์เป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ด้านหน้าของโบสถ์ยังมีพระรูปพระเยซูเจ้ารักษาคนตาบอด หรือ พระโต เป็นพระรูปที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดให้ไถ่มา เมื่อคราวเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 1 ในปี 1897 และได้พระราชทานให้แก่วัดนี้
วัดคอนเซ็ปชัญ
ชุมชนโบสถ์คอนเซ็ปชัญนั้นถือเป็นชุมชนเก่าแก่ตั้งแต่ครั้งสมัยสมเด็จพระนารายณ์
ซึ่งพระองค์ได้ทรงพระราชทานที่ดินบริเวณนี้ให้กับชาวโปรตุเกสที่ร่วมทำสงครามมะละกาให้กับพระองค์
พร้อมทั้งสร้างวัดคอนเซ็ปชัญขึ้นมาเพื่อประกอบศาสนกิจ ต่อมาในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
รัชกาลที่ 1 ทรงโปรดเกล้าฯให้ชาวโปรตุเกสในเขมรและชาวเขมรจำนวน
500 คน ที่หลบหนีลี้ภัยมาจากเขมร
มาอยู่รวมกับชาวโปรตุเกสในชุมชนนี้ และตั้งแต่นั้นมาก็มีการเรียกหมู่บ้านนี้ว่า “บ้านเขมร”
วัดคอนเซ็ปชัญหลังแรกสร้างด้วยไม้ไผ่และผุพังตามกาลเวลา
จึงมีการสร้างขึ้นใหม่ในสมัยบาทหลวงปาลเลอกัว เจ้าอาวาสองค์ที่ 17 ในช่วงรัชกาลที่ 3
ซึ่งปัจจุบันคือ “วัดน้อย” ซึ่งใช้เป็นพิพิธภัณฑ์เก็บประวัติศาสตร์ที่มีมายาวนานกว่า 300 ปีทั้งของใช้ที่นำมาทำพิธี และเสื้อคลุมสำหรับพระสงฆ์ เป็นต้น
ส่วนโบสถ์หลังปัจจุบันสร้างมาตั้งแต่ปีพ.ศ.2480 โดยใช้รูปแบบผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมสยามและสถาปัตยกรรมตะวันตก เรียกกันว่า “อาคารแบบวิลันดา” ถือว่าเป็นสถาปัตยกรรมคาทอลิกที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังมีการใช้งานในปัจจุบัน ภายในโบสถ์มีรูปสลักพระแม่มารีที่คณะผู้อพยพอัญเชิญมาจากเขมร ถือว่าเป็นสถาปัตยกรรมคาทอลิกที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังมีการใช้งานในปัจจุบัน
วัดเทวราชกุญชร
วัดเทวราชกุญชรวรวิหาร เดิมชื่อ วัดสมอแครง เป็นพรุอารามหลวงชั้นตรี
สร้างขึ้นสมัยกรุงศรีอยุธยา ต่อมาเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี (ต้นสกุลมนตรีกุล)
พระโอรสของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ จากนั้น กรมพระพิทักษ์เทเวศร หรือ “พระองค์เจ้ากุญชร” (ต้นสกุลกุญชร) พระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงบูรณ์ปฏิสังขรณ์อีกครั้ง
ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงรับเป็นพระอารามหลวงและพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดเทวราชกุญชร
วรวิหาร” ทรงนำคำว่า เทวราช
มานำหน้าพระนามของพระองค์เจ้ากุญชร ซึ่งเป็นพระนามเดิมของ กรมพระพิทักษ์เทเวศร
ผู้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้มาก่อน
วัดนี้มีความสำคัญเนื่องจากมีพระอุโบสถขนาดใหญ่มากซึ่งสร้างขึ้นในรัชกาลที่ 3 มีขนาดยาว 36 เมตร กว้าง 17 เมตร ภายในมี “พระพุทธเทวราชปฏิมากร” เป็นพระประธานประดิษฐาน ส่วนภาพจิตกรรมภายในพระอุโบสถมีเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ใช้เป็นภาพเหตุการณ์เหล่าเทวดามาชุมนุมกันขณะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ด้านล่างระหว่างช่องหน้าต่างเป็นภาพภิกษุกำลังปลงอสุภกรรมฐาน ส่วนจิตรกรรมที่ผนังตอนล่างระหว่างช่องประตูหน้าเป็นภาพทศชาติ เรื่อง สุวรรณสาม และด้านหลังเป็นภาพวัดเทวราชกุญชรเดิมก่อนที่จะมีการสร้างพระอุโบสถหลังนี้
วัดราชาธิวาส
วัดราชาธิวาสวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท เดิมชื่อ “วัดสมอราย” ได้รับการปฏิสังขรณ์ต่อเนื่องตั้งแต่สมัยรัชกาลที่
1 ถึงรัชกาลที่ 3 จนถึงในสมัยรัชกาลที่
4 ได้ทรงปฏิสังขรณ์ใหม่แล้วพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดราชาธิวาสวิหาร” มีความหมายว่า “วัดอันเป็นที่ประทับของพระราชา” เนื่องจากวัดแห่งนี้เคยเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยและสมเด็จฯ
กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
และที่สำคัญยังเป็นวัดแรกที่ถือกำเนิดคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย
ตัวพระอุโบสถหลังเดิมได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์มาแล้วหลายครั้ง จนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯให้ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ออกแบบใหม่
ด้วยการผสมผสานศิลปะไทย
ศิลปะขอม และศิลปะตะวันตก เข้าด้วยกัน
โดยตั้งใจให้ลักษณะพิเศษแตกต่างไปจากวัดอื่นและแตกต่างจากแบบแผนจารีตเดิม
ส่วนจิตกรรมฝาผนังของอุโบสถแห่งนี้ก็มีความพิเศษคือผนังทั้ง 4 ด้านที่เหลือมีการเขียนจิตรกรรมฝาผนังเรื่องเวสสันดรชาดกครบทั้ง 13 กัณฑ์ ซึ่งสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ทรงร่างแบบและให้จิตรกรรมชาวอิตาลีนาม คาร์โล ริโกลี (Carlo Rigoli) เป็นผู้ขยายแบบและลงสีโดยใช้เทคนิคการลงสีแบบเฟรสโกหรือการเขียนสีบนปูนเปียก ซึ่งเป็นเทคนิคการเขียนของโลกตะวันตก
หนาวนี้ที่เชียงใหม่ ไหว้พระ 5 วัดจัดไป!!
วันเดียวเที่ยว 3 สะพาน