ข่าวคราวด้านต่างประเทศช่วงนี้
เชื่อว่าหลายท่านให้ความสนใจกับประเทศซาอุดีอาราเบียมากเป็นพิเศษ
จากกรณีการถูกโจมตีโรงกลั่นน้ำมัน 2 แห่งของบริษัทซาอุดี
อารัมโกในช่วงกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา
ที่ถือเป็นจุดชนวนราคาน้ำมันในตลาดโลกให้เริ่ม ‘แกว่ง’ อีกครั้ง หรือแม้แต่การเกิดสงครามในตะวันออกกลาง
ทว่าผลกลับไม่ได้เป็นในทางร้ายอย่างที่คิด
ดูเหมือนซาอุดีฯ สามารถพื้นกลับมาได้อย่างรวดเร็ม ทั้งสถาบันจัดอันดับรายใหญ่หลาย
ๆ แห่งได้ประกาศอันดับความน่าเชื่อถือของซาอุดีอาระเบียขึ้นใหม่หลังเหตุโจมตี
ทั้งมูดี้ส์ ที่ยังคงการจัดอันดับเครดิตไว้ที่ระดับเดิม
ขณะที่ฟิทช์ปรับลดอันดับเครดิตของซาอุดีอาระเบียเป็น A ที่มีแนวโน้มมีเสถียรภาพ
สิ่งนี้ไม่เพียงสะท้อนความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและการคลังของซาอุดีฯ เท่านั้น
แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการตอบสนองต่อปัจจัยภายนอกอย่างมีประสิทธิภาพและฉับไว
ไม่นานซาอุดีอาระเบียเริ่มผลิตน้ำมันอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง
หลังจากที่เหตุโจมตีดังกล่าวทำให้การผลิตน้ำมันลดลงกว่าครึ่งหนึ่ง
โดยกำลังผลิตน้ำมันของซาอุดีอาระเบียแตะ 11.3 ล้านบาร์เรลต่อวันแล้ว และจะแตะ 12
ล้านบาร์เรลต่อวันภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ ขณะที่ปริมาณน้ำมันน่าจะกลับมาแตะ
9.89 ล้านบาร์เรลต่อวันในช่วงเดือนตุลาคม
และซาอุดีอาระเบียซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก
จะตอบสนองต่อความต้องการน้ำมันของลูกค้าได้ทั้งหมดในเดือนนี้
ถือว่าแก้ปัญหาได้สวยงามและทันท่วงที
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ล่าสุดในปลายเดือนกันยายน 2562 หนังสือ
Arab News ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์
(ท้องถิ่นฉบับภาษาอังกฤษของซาอุดีฯ ได้นําเสนอข่าว ในหัวข้อ “Saudi project
aims to make Kingdom self-sufficient in seafood production” โดยมีรายละเอียดสรุปได้ว่า
นาย Ali Al-Shaikhi ประธานเจ้าหน้าที่บริหารโครงการพัฒนาการประมงแห่งชาติของซาอุดีฯ
(Saudi National Fisheries Development Program – NFDP) ได้ให้สัมภาษณ์ว่า
รัฐบาลซาอุดีฯ
ได้ตั้งเป้าหมายการส่งเสริมอุตสาหกรรมการประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องของซาอุดีฯ
โดยมุ่งหวังที่จะทำให้ประเทศสามารถพึ่งพาตนเองในการผลิตอาหารทะเล
รวมทั้งสามารถที่จะขยายตลาดไปยังต่างประเทศได้ โดยใช้กองทุนเพื่อการพัฒนามูลค่า
1.3 พันล้านริยาลซาอุดีฯ (350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
ในการขับเคลื่อนโครงการเพื่อกระตุ้นการลงทุนและการเติบโตในภาคอุตสาหกรรมประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในประเทศ
โดยตั้งเป้าหมายการผลิตปีละ 600,000 ตันภายในปี 2573
ปัจจุบันปริมาณการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จากปริมาณการผลิต 27,000 ตันในปี 2559 เพิ่มขึ้นเป็น 77,000 ตันในปี 2561 และเชื่อว่าอุตสาหกรรมด้านนี้จะมีศักยภาพในการสร้างความมั่นคงทางอาหารและการพึ่งพาตนเองให้กับประเทศ
รวมทั้งสามารถตอบสนองความต้องการบริโภคอาหารทะเลที่เพิ่มมากขึ้นภายในประเทศ
ซึ่งมีปริมาณการนําเข้าโดยเฉลี่ยในช่วงสามปีที่ผ่านมามีมากกว่า 200,000 ตัน
มีมูลค่าราว 2.5 พันล้านริยาลซาอุดีฯ โดยมีประเทศผู้ส่งออกอาหารทะเลไปยังซาอุดีฯ
รายใหญ่ ได้แก่ ไทย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โอมาน อินโดนีเซีย และนอร์เวย์
ที่มีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
มุ่งสู่ ซาอุดีฯ Vision 2030
ด้านกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ชลประทาน
และการเกษตรซาอุดีฯ (Ministry of Environment, Water and
Agriculture – MEWA) ได้จัดทําแผนพัฒนาการประมงภายใต้ Vision
2030 โดยกําหนดให้ NFDP เป็นผู้ดําเนินงาน
โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาสาขาหลักต่าง ๆ อาทิ
(1)
การผลักดันการพัฒนาตลาดและผลิตภัณฑ์ในท้องถิ่น
(2) การจัดทําแผนงานสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
เช่น โรงเพาะฟักไข่และโรงงานอาหารสัตว์ อีกทั้ง
(3)
มีการวางแผนงานที่จะให้ทุนสนับสนุนโครงการวิจัยและพัฒนาโดยทํางานร่วมกับมหาวิทยาลัยในท้องถิ่นเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตสัตว์น้ำสายพันธุ์ที่มีอยู่เดิม
รวมทั้งศึกษาเทคนิคในการผลิตสําหรับสัตว์น้ำสายพันธุ์ใหม่ ๆ ด้วย
โฟกัสการเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง
ทั้งนี้ ซาอุดีอาระเบียมีแนวชายฝั่งทะเลยาว
2,800 กม. (โดยเฉพาะในฝั่งทะเลแดง)
ซึ่งอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่มีความลึกของระดับน้ำทะเลใกล้ชายฝั่งอยู่ที่
25 ถึง 50 เมตร และมีคลื่นลมที่เหมาะสม
จึงทําให้มีศักยภาพสําหรับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในทะเล โดยปัจจุบันมีบริษัทขนาดใหญ่
12
แห่งที่ดําเนินธุรกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทางทะเลและน้ำจืดในประเทศตามแนวชายฝั่ง
ตั้งแต่เมืองตาบูก (Tabuk) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ
ไปจนถึงเมืองจาซาน (Azan) ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ
และยังมีโครงการเพาะเลี้ยงปลาน้ำจืดในบริเวณกรุงริยาดอีกด้วย
นอกจากนี้ ซาอุดีฯ
ยังมีอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในประเทศที่สามารถผลิตไข่ปลาคาเวียร์ได้
โดยบริษัท Caviar Court ซึ่งเป็นผู้ประกอบการผลิตไข่ปลาคาเวียร์
ประสบกับผลสําเร็จด้วยดีในอุตสาหกรรมดังกล่าว
ซึ่งปัจจุบันสินค้าผลิตภัณฑ์ประมงของซาอุดีฯ มีการพัฒนาในด้านคุณภาพและมาตรฐาน
โดยผ่านการรับรองและติดฉลากตามโปรแกรม SAMAQ ซึ่ง NFDP
ได้ตั้งความหวังที่จะเปิดตลาดส่งออกใหม่ ๆ ในประเทศต่าง ๆ อาทิ จีน
และรัสเซีย ให้กับผู้ประกอบการซาอุดีฯ อีกด้วย
ปัจจุบัน NFDP ได้จัดทําระเบียบการลงทุน (ready-to-invest
packages) ที่สามารถลดระยะเวลาในการออก ใบอนุญาตลงเหลือเพียง 3
เดือน และยังทํางานร่วมกับกองทุนเพื่อการพัฒนาการเกษตร (Agricultural
Development Fund – ADF) และกองทุนเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมซาอุดีฯ (Saudi
Industrial Development Fund – SIDF) เพื่อให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนสําหรับโครงการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำได้ง่ายขึ้น
อีกทั้ง SIDF พร้อมที่จะให้เงินทุนสนับสนุนในบางโครงการมากถึง
75% และเพื่อเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมในด้านนี้ NFDP ยังเป็นผู้ติดต่อประสานงานกับสํานักงานการลงทุนทั่วไปซาอุดีฯ
(Saudi Arabian General Investment Authority – SAGIA) ให้กับนักลงทุนต่างชาติที่มีศักยภาพเพื่อที่จะเข้าสู่ตลาดได้ง่ายยิ่งขึ้นด้วย
ข้อสนเทศและข้อสังเกตเพิ่มเติม
คือปัจจุบัน ชาวซาอุดีฯ ได้เพิ่มความนิยมการบริโภคสินค้าอาหารทะเลเพิ่มมากขึ้น
โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองเจดดาห์ที่อยู่บริเวณฝั่งทะเลแดงมีการจําหน่ายอาหารทะเลสด
โดยเฉพาะปลาทะเลขนาดใหญ่ต่าง ๆ กุ้ง ปู และปลาหมึกในซุปเปอร์มาร์เกตเป็นจํานวนมาก
รวมถึงมีการจําหน่ายปลาน้ำจืดแช่แข็งอีกด้วย
ซาอุดีฯ เห็นความเสี่ยงในการพึ่งพาเศรษฐกิจจากน้ำมันไปสู่การพึ่งพิงตัวเองโดยพัฒนาศักยภาพด้านการผลิตอาหาร
สบโอกาสการค้าไทย – ซาอุดีย์ฯ
ในส่วนของไทยซึ่งเป็นประเทศที่ซาอุดีฯ
ระบุว่ามีการนําเข้าสินค้าอาหารทะเลอย่างมาก ส่วนใหญ่ได้แก่ ปลากระป๋อง (ซึ่งตลาดน่าจะเป็นชาวต่างชาติที่อาศัยในซาอุดีฯ)
และปลาน้ำจืดแช่แข็ง (ซึ่งปัจจุบัน ซาอุดีฯ
เริ่มดําเนินมาตรการห้ามนําเข้าจากตลาดต่าง ๆ เช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย
แต่ยังคงอนุญาตสําหรับสินค้าไทย) ซึ่งในช่วงตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
สถานกงสุลใหญ่ได้รับข้อมูลจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ เมืองเจดดาห์
ว่าทางการซาอุดีฯ ได้ระงับการนําเข้าสินค้าประมงของไทย เนื่องจากมิได้ทําการลงทะเบียนตามระบบใหม่
ซึ่งกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้ทําการเจรจาจนสามารถนําเข้าได้ชั่วคราวในขณะนี้
โดยผู้ประกอบการไทยต้องลงทะเบียนให้ถูกต้องก่อนการส่งสินค้าในคราวต่อไป
ซึ่งอาจแสดงให้เห็นว่าซาอุดีฯ
เริ่มที่จะมีการใช้กลไกเพื่อกีดกันการนําเข้าสินค้าดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นด้วย
ไทยเป็นประเทศที่มีการพัฒนาในอุตสาหกรรมการประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างมากประเทศหนึ่งของโลก
จึงเห็นว่าน่าจะเป็นโอกาสที่การส่งเสริมความร่วมมือกับซาอุดีฯ
ภายใต้การดําเนินตามนโยบาย Vision 2030 รวมทั้งเพื่อเตรียมพร้อมสําหรับการฟื้นฟูความสัมพันธ์ ไทย-ซาอุดีฯ
เพื่อแสวงหาโอกาสในการลงทุนในอุตสาหกรรมที่จะสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของซาอุดีฯ
อาทิ โรงงานอาหารปลา โรงงานเพาะเลี้ยงพันธ์ปลา ที่ซาอุดีฯให้ความสนใจ
อ้างอิง : สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเจดดาห์
เศรษฐกิจแดนมังกร ท่ามกลางสงครามการค้า